สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน ส.ค.ส. ภาพฝีพระหัตถ์ "กระต่ายหมายจันทร์ฉาย"
ในโอกาสขึ้นปีใหม่ ปีเถาะ พุทธศักราช ๒๕๖๖
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน ส.ค.ส. ภาพฝีพระหัตถ์ "กระต่ายหมายจันทร์ฉาย"
ในโอกาสขึ้นปีใหม่ ปีเถาะ พุทธศักราช ๒๕๖๖
เชิญร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านออนไลน์
เกียรติบัตรออนไลน์ความรู้เรื่องเทศกาลปีใหม่ 2566
พร้อมเชิญร่วมทำแบบทดสอบผ่านเกณฑ์ 70% หรือผ่าน 7 ข้อขึ้นไป จะได้รับเกียรติบัตรออนไลน์ ผ่านทาง e-mail
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ
วันขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่ปฏิทินปีใหม่เริ่มต้นและนับปีปฏิทินเพิ่มขึ้นหนึ่งปี วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินเกรโกเรียนที่ใช้กันทั่วโลกปัจจุบัน ตรงกับวันที่ 1 มกราคม
ประวัติวันขึ้นปีใหม่ของไทย
ในอดีตวันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 ถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับเดือนมกราคม ยึดตามปฏิทินจันทรคติเป็นหลัก
ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน ยึดตามปฏิทินจันทรคติเป็นหลัก
ครั้งที่ 3 ได้ถือเอาปฏิทินสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ (วันสงกรานต์) ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา
ต่อมาเมื่อไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางการจึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก และในปี พ.ศ. 2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด ในสมัยนั้นเรียกกันว่าเป็น "วันตรุษสงกรานต์"
ครั้งที่ 4 ได้ปรับเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศทั่วโลก โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมา
สำหรับการพิจารณาเปลี่ยน "วันขึ้นปีใหม่" ในครั้งนั้น เกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งมี "หลวงวิจิตรวาทการ" เป็นประธานกรรมการ หลังจากหารือกันแล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากเดิม 1 เมษายน ให้เป็นวันที่ 1 มกราคมแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่สากลครั้งแรกในไทย
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย
วันขึ้นปีใหม่สากลของชาวโลก
กษัตริย์ จูเลียส ซีซาร์ (Julian Caesar) ภาพจาก omnibiografia.com
วันขึ้นปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและน่าสนใจ มีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม ไปตามยุคสมัยของผู้ผู้ปกครองหรือมีอำนาจ เชื่อว่าเริ่มต้นใช้ปีใหม่ครั้งแรก ตั้งแต่สมัยชาวบาบิโลเนีย ๔,๐๐๐ กว่าปี ที่ริเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทินโดยคำนวณจากการเคลื่อนที่วงรอบของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ ๑๒ เดือน กำหนดให้เป็น ๑ ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก ๑ เดือน เป็น ๑๓ เดือนในทุกๆ ๔ ปี
ปฏิทินอียิปต์ ต้นแบบของปฏิทินจูเลียน (ภาพจาก i.pinimg.com/originals / writer.dek-d.com/nui1960/story)
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปีปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้งเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลต่างๆ มากขึ้น จนถึงสมัยของกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ จูเลียน ซีซาร์ Julian Caesar (ประมาณ ๔๖ ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ได้นำความคิดและหลักความเชื่อเรื่อง "จักรราศี" ตามหลักสุริยคติของอียิปส์มาผสมผสานกับจันทรคติในแบบเดิม ทำให้ในหนึ่งปีมี ๓๖๕ วัน จึงกำเนิดเป็น "ปฏิทินจูเลียน” Julian calendar ซึ่งใกล้เคียงกับปัจจุบันมาก โดยทุกๆ ๔ ปี ให้เติมวันในเดือนที่มี ๒๘ วัน เพิ่มอีก ๑ วัน เป็น ๒๙ วัน คือ เดือนกุมภาพันธ์ เมื่อกำหนดวันเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปีแล้ว แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ตรงตามฤดูกาลมากนัก คือเวลาในปฏิทินจะยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน
และยังพบว่าในวันที่ ๒๑ มีนาคม ตามปีปฏิทินในทุกๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และตกลงทางทิศตะวันตก วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ ๑๒ ชั่วโมงเท่ากัน เรียกว่า วัน Equinox in March
ปฏิทินจูเลียน กำหนดวันที่ ๑ มกราคมเป็นวันแรกของปี ซึ่งเดือนมกราคม (January) มาจากชื่อของเทพเจนัส (Janus) เทพเจ้าแห่งการเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลง โดยจัดให้มีการบูชายัญเทพเจนัส และมอบของขวัญให้แก่กัน ตกแต่งบ้านเรือนด้วยพวงดอกไม้ และเข้าร่วมงานเลี้ยง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวันขึ้นปีใหม่ ๑ มกราคม เป็นต้นมา
พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ ๑๓ ผู้คิดค้นปฏิทินเกรกอเรี่ยน (ภาพจาก ancient-origins.net)
ครั้งมาถึงยุค พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ ๑๓ ( Pope Gregory XIII ) พบว่าในปี ค.ศ. ๑๕๘๒ หรือ พ.ศ. ๒๑๒๕ วัน Equinox in March กลับปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๑ มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ ๒๑ มีนาคม ดังนั้นในยุคท่านจึงมีการคิดค้นปฏิทินเกรกอเรียนขึ้นใช้แทน เนื่องจากปีในปฏิทินจูเลียน ซึ่งยาวนาน ๓๖๕.๒๕ วันนั้น มีนานกว่าปีฤดูกาลจริง (๓๖๕.๒๔๒๕ วัน) อยู่เล็กน้อย ทำให้วันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืน Equinox in March ของแต่ละปี ขยับเร็วขึ้นทีละน้อย และต้องการให้วันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ ๒๑ มีนาคม จึงจำเป็นต้องดัดแปลงปฏิทินจูเลียน เสียใหม่
ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน (Gregorian calendar) ตามชื่อพระสันตะปาปา เกรกอรี่ ส่งผลให้ประเทศที่นับถือคาทอลิก รวมถึงประเทศต่างๆ ในยุโรปปรับเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินเกรกอเรี่ยน และในที่สุดจึงกลายเป็นปฏิทินสากลของโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากการขยายอาณานิคม อิทธิพลของชาวยุโรปไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
เครื่องจักรกลบอกเวลาโบราณ ( ภาพจาก independent.co.uk/news/uk/home-news/gregorian-calendar )
รู้ทัน “ปีเถาะ 2566” ตามหลักโหราศาสตร์จีนที่จะมาพยากรณ์ภาพรวมปีหน้า สีเสริม และเลขมงคลแห่งปี พร้อมคำแนะนำที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
ในปี 2566 เป็นปีของนักษัตรเถาะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอดทน และความโชคดี หมายความว่าเข้าสู่ปีใหม่นี้ จะนำพาสิ่งที่เราขาดหายไปในปี 2565 นั่นคือ ความสุขและความสำเร็จเข้ามาให้เรานั่นเอง
ในทางโหราศาสตร์จีน เชื่อว่า การเข้าสู่ปีนักษัตรเถาะ อิทธิพลของกระต่ายจะทำให้คนที่หุนหันพลันแล่น อารมณ์เย็นขึ้น มีการคิดทบทวนอีกครั้งก่อนจะทำสิ่งใด เพราะกระต่ายนั้นจะมีลักษณะนิสัยคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ส.ค.ส. การ์ดอวยพรปีใหม่ ส่งความสุขให้ใคร ๆ ทั่วโลก ในเมืองไทยเริ่มสมัยรัชกาลที่ 4 แต่พระองค์ทรงส่งให้ใคร
การส่ง “ส.ค.ส.” หรือ ส่งความสุข เริ่มครั้งแรกในประเทศไทย คือรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์คัดลอกเพื่อที่จะพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และชาวต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน โดยมีการค้นพบ ส.ค.ส. ที่เก่าแก่ที่สุดคือฉบับปี พ.ศ. 2409
ผู้ที่ค้นพบ ส.ค.ส. ฉบับที่เก่าแก่ที่สุดคือ คุณธวัชชัย ตั้งศิริวานิช ซึ่งค้นพบที่ประเทศอังกฤษ เป็นฉบับที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ กัปตันจอห์น บุช หรือหลวงวิสูตรสาครดิษฐ ที่ดูแลกรมเจ้าท่าในขณะนั้น
คุณธวัชชัย ได้อธิบายลักษณะเกี่ยวกับ ส.ค.ส. ฉบับนี้ในบทความ ส.ค.ส.ฉบับแรกของสยาม ว่า “ส.ค.ส. ฉบับนี้ไม่เป็นรูปแบบบัตรอวยพรพร้อมลวดลายวิจิตรอย่างเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นกระดาษสมุดฝรั่งสีครีมพับครึ่ง ไม่ต่างจากกระดาษจดหมายทั่วไป ส.ค.ส. ฉบับนี้ เมื่อคลี่ออกมาจะมีขนาดความกว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 23 เซนติเมตร ซองมีขนาดความกว้าง 8.1 เซนติเมตร ยาว 13.9 เซนติเมตร พระราชสาสน์อวยพรมีความยาวทั้งสิ้น 4 หน้า และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานลายเซ็นพระนามลงบน ส.ค.ส. ฉบับนี้ด้วย”
แสดงให้เห็นว่า ส.ค.ส. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น กว่าศตวรรษแล้ว เป็นที่น่าเสียดายถ้าปัจจุบัน การส่งความสุขผ่าน ส.ค.ส. เริ่มหายไปจากเมืองไทย อาจเป็นเพราะความเจริญด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน แต่อย่างไรก็ตาม ส.ค.ส. ยังคงมีคุณค่าในตัวเอง เพราะว่าผู้ส่งมีความพิถีพิถันในการเขียนและประดับตกแต่งให้ดูสวยงามก่อนส่งให้คนที่รัก
เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2023 สิ่งที่ทุกคนต่างรอคอยกันในเดือนนี้ คงไม่พ้นการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่กันนั่นเอง ซึ่งในประเทศต่าง ๆ ก็มีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละวัฒนธรรม ซึ่งมีความน่าสนใจ และดูสนุกสนานอยู่ไม่น้อย วันนี้เราได้หยิบยกตัวอย่างกิจกรรมวันปีใหม่ ที่น่าสนใจในต่างประเทศมาเล่าสู่กันฟัง
1. ประเทศญี่ปุ่น
ประเพณีที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานสำหรับชาวญี่ปุ่นที่ปฏิบัติกันในวันสิ้นปีนั้น คือการร่วมรับประทานโซบะข้ามปี หรือที่เรียกกันว่า Toshikoshi Soba (年越しそば) โดยมีความเชื่อว่า การรับประทานเมนูนี้ในวันสิ้นปี เปรียบเสมือนการขอพรให้มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนเส้นโซบะ
2. ประเทศฟิลิปปินส์
ชาวฟิลิปปินส์มีความเชื่อที่ว่า สิ่งของกลม ๆ จะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ และความร่ำรวยให้แก่ตนเอง โดยในวันปีใหม่ของทุก ๆ ปี ชาวฟิลิปปินส์จะพากันใส่เสื้อผ้าที่มีลายจุด หรือนำผลไม้ทรงกลมเหมือนเหรียญเงิน เช่น ส้ม อุง่น มาประดับตกแต่งเพื่อความเป็นสิริมงคลในปีนั้น ๆ
3. ประเทศรัสเซีย
การขอพรในวันปีใหม่ เกิดขึ้นในทุก ๆ ประเทศบนโลกใบนี้ ซึ่งในประเทศรัสเซียจะมีวิธีการขอพรปีใหม่ที่ไม่เหมือนใคร โดยการเขียนคำอธิษฐานของตัวเองลงบนกระดาษ จากนั้นนำกระดาษใบนั้นเผาไฟ เพื่อเอาเถ้าที่ได้ใส่ลงในแก้วแชมเปญ และดื่มคำอธิษฐานเข้าไป โดยมีความเชื่อว่าหากทำเช่นนี้ คำอธิษฐานจะกลายเป็นจริง
4. ประเทศสเปน
เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาเที่ยงคืน ชาวสเปนจะรับประทานองุ่นจำนวน 12 ลูก แทนจำนวนเดือนที่มีตลอดปี โดยรับประทาน 1 ลูก เมื่อ เข็มนาฬิกาตีหนึ่งครั้ง หากสามารถทำได้ ชาวสเปนเชื่อว่าจะโชคดีไปตลอด 12 เดือนของปีถัดไป