เรื่องที่ 2 ลักษณะของสินเชื่อประเภทต่าง ๆ และการคำนวณดอกเบี้ย
หากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจำเป็นต้องขอกู้ยืม ในลำดับต่อมา สิ่งที่ต้องทำ คือ หาข้อมูล คิด และตัดสินใจว่าจะเลือกกู้ยืมจากแหล่งใด ทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง คือ เลือกกู้ยืมจากผู้ให้บริการในระบบเพราะมีหน่วยงานของรัฐกำกับดูแล เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการสินเชื่อในระบบหลายประเภท ทั้งที่เป็นสถาบัน การเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบัน การเงิน (non-bank) เช่น บริษัทผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ประเภทสินเชื่อ
สินเชื่อสามารถจำแนกออกได้หลายประเภท โดยอาจแบ่งตามวัตถุประสงค์ ในการขอกู้ เช่น สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค สินเชื่อเพื่อธุรกิจ และในแต่ละประเภทก็ยังมี ผลิตภัณฑ์สินเชื่อปลีกย่อยลงไปอีก ในบทเรียนนี้จะกล่าวถึงเฉพาะสินเชื่อที่เกี่ยวข้องในการ ดำรงชีวิตของประชาชน เช่น
1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
เป็นสินเชื่อที่สถาบันการเงินให้บุคคลธรรมดากู้ยืม เพื่อนำเงินไปใช้ในการจัดหาที่อยู่อาศัย เช่น ซื้อที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัย ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซื้อห้องชุด หรือเพื่อปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
ลักษณะของสินเชื่อที่อยู่อาศัย
วงเงิน สถาบันการเงินจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อตามอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อ ประมาณร้อยละ 70-100 ของมูลค่าหลักประกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยและ ลักษณะสัญญา
อัตราดอกเบี้ย สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
อัตราดอกเบี้ยคงที่ (fixed rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขคงที่ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปีตลอดอายุสัญญา
อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่เห็นได้บ่อย คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ของธนาคารพาณิชย์ เช่น
MLR (minimum loan rate) สำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ชั้นดี ใช้กับ เงินกู้ระยะยาว ที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ
MOR (minimum overdraft rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ใช้กับ วงเงินเบิกเกินบัญชี
MRR (minimum retail rate) สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สถาบันการเงินอาจคิดดอกเบี้ยแก่ผู้ขอสินเชื่อแต่ละรายโดยใช้อัตรา ดอกเบี้ยที่แตกต่างกันได้ และอาจสูงหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของ ผู้ขอสินเชื่อแต่ละราย
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอาจผสมกัน ระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวก็ได้ เช่น
- ปีที่ 1 - 3 คิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 2.5% ต่อปี
- ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว MRR – 1% ต่อปี
ทั้งนี้ ผู้ขอสินเชื่อสามารถดูประกาศอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงได้ ซึ่งจะติด ประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือในเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน
📖ตัวอย่าง ธนาคาร A ประกาศอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง โดย MLR เท่ากับ 4% MOR เท่ากับ 5% และ MRR เท่ากับ 6%
เมื่อต้องการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร A
- หากธนาคาร A แจ้งว่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR + 1% หมายความว่า ธนาคาร A จะคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 7% ต่อปี (6% + 1%)
- หากธนาคาร A แจ้งว่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR - 1% หมายความว่า ธนาคาร A จะคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 5% ต่อปี (6% - 1%)
3. วิธีการคิดดอกเบี้ย คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (effective rate) ซึ่ง เป็นการคิดดอกเบี้ยจากฐานเงินต้นที่ลดลง กล่าวคือ เมื่อเงินต้นลดดอกเบี้ยก็จะลดลงด้วย
ถ้าผู้ให้สินเชื่อกำหนดให้ต้องผ่อนงวดละเท่า ๆ กัน การคำนวณจะเป็นไป ตามขั้นตอนที่ 1 - 3 ดังนี้
ขั้นที่ 1 คำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น โดยมีสูตรคำนวณ ดังนี้
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น = เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด จำนวนวันใน 1 ปี*
*จำนวนวันใน 1 ปี สถาบันการเงินอาจใช้ 360 วัน หรือ 365 วัน หรือ 366 วันก็ได้ แต่ไม่ว่าจะกำหนดจำนวนวันเป็นเท่าใดก็ตาม สถาบันการเงินจะต้องใช้จำนวนวันเดียวกันสำหรับการคำนวณทั้งดอกเบี้ยจ่าย เช่น เงินฝาก และดอกเบี้ยรับ เช่น สินเชื่อ
ขั้นที่ 2 คำนวณเงินต้นที่ลดลงในงวดนั้น ขั้นตอนนี้ให้นำเงินค่างวดที่ต้องจ่ายในงวดนั้น หักออกด้วยดอกเบี้ยจ่ายที่คำนวณได้จากในขั้นที่ 1 ยอดที่ได้ก็คือ เงินต้นที่ได้จ่าย ไปในงวดนั้น
เงินต้นลดลง = จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น – ดอกเบี้ยจ่ายในงวดนั้น
ขั้นที่ 3 คำนวณเงินต้นคงเหลือ ขั้นตอนนี้เพื่อหาเงินต้นคงเหลือเพื่อใช้ในการคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัดไป
เงินต้นคงเหลือ = เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน – เงินต้นลดลง
ทั้งนี้ หากเป็นการผ่อนชำระด้วยจำนวนเงินต้นเท่ากันทุกเดือน หรือมีการกำหนดจำนวนเงินต้นที่ต้องจ่ายไว้แน่นอน ก็สามารถใช้สูตรในขั้นที่ 1 คำนวณหาดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายได้เช่นกัน
📖ตัวอย่าง ยอดชายกู้เงินจากธนาคารจำนวน 40,000 บาท ธนาคารกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก โดยธนาคารให้ผ่อนชำระงวดละ 3,400 บาท ยกเว้นเดือนสุดท้ายให้ผ่อนชำระ 4,267 บาท ยอดชายจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นเงิน เท่าไร
ขั้นที่ 1 คำนวนดอกเบี้ยงวดที่ 1 (สมมติว่าเป็นเดือน ม.ค. ซึ่งมี 31 วัน)
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดที่ 1 = 40,000 บาท x 7.5x 31
100 365
= 255 บาท
ขั้นที่ 2 คำนวนเงินต้นที่ลดลง
เงินต้นที่ลดลง = 3,400 บาท - 255 บาท = 3,145 บาท
ขั้นที่ 3 คำนวนเงินต้นคงเหลือ (เพื่อใช้คิดดอกเบี้ยสำหรับงวดถัดไป)
เงินต้นคงเหลือ = 40,000 บาท - 3,145 บาท = 36,855 บาท
ข้างต้นเป็นการคำนวณสำหรับงวดที่ 1 ซึ่งจะต้องคำนวณสำหรับงวดต่อ ๆ ไปตามขั้นตอน ข้างต้น (ขั้นที่ 1 - 3) จนครบทุกงวด ก็จะได้ผลลัพธ์ตามตารางด้านล่าง
จากการคำนวณข้างต้น จะเห็นว่าดอกเบี้ยจะทยอยลดลงตามเงินต้นที่ลดลง โดย นายยอดชายจะต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด 1,667 บาท
4. การผ่อนชำระ ให้ระยะเวลาผ่อนนาน แต่ไม่เกิน 30 ปี
ข้อควรรู้
เงินผ่อนชำระที่จ่ายไปนั้น จะนำไปหักค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยก่อน ที่เหลือจึงจะนำไปหักเงินต้น
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเป็นแบบลอยตัว หากช่วงใดอัตราดอกเบี้ย ปรับตัวสูงขึ้น จำนวนเงินที่จ่ายในงวดนั้น ๆ อาจถูกนำไปหักเป็นดอกเบี้ยมากขึ้นและเหลือไป ตัดเงินต้นน้อยลง
หากค้างชำระหรือชำระค่างวดล่าช้า อาจถูกคิดดอกเบี้ยในอัตรา ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นของงวดที่ผิดนัด
การตัดสินใจที่จะมีบ้านสักหลัง เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ใน ชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องคิดอย่างรอบคอบ ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจซื้อบ้านมีมากมาย เช่น ทำเลที่ตั้ง จำนวนสมาชิกในครอบครัว ความสะดวกในการเดินทาง ราคา และความน่าเชื่อถือ ของโครงการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในกรณีซื้อบ้านด้วยการขอสินเชื่อก็คือ ความสามารถในการ ผ่อนชำระหนี้ เพราะหากซื้อบ้านที่ถูกใจแต่เกินกำลังที่จะผ่อนชำระ สุดท้ายก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น บ้านถูกยึดและขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านควรต้องสำรวจความพร้อมของตัวเอง ดังนี้
ต้องซื้อตอนนี้เลย หรือรอได้หรือยังมีทางเลือกอื่นหรือไม่ เช่น เช่าอยู่ก่อน หรืออยู่กับพ่อแม่ไปก่อน โดยระหว่างนี้ก็ “ซ้อมผ่อน” ไปพลาง ๆ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อ ทดลองดูว่าจะผ่อนไหวหรือไม่ตอนที่จะซื้อจริง (วิธีซ้อมผ่อน เริ่มจากเปิดบัญชีเงินฝาก 1 บัญชี เพื่อเก็บเงินซื้อบ้านโดยเฉพาะ แล้วนำเงินไปฝากทุกเดือน เดือนละเท่า ๆ กัน โดยเท่ากับจำนวน เงินผ่อนบ้าน ซึ่งสามารถขอข้อมูลได้จากฝ่ายขายของโครงการหมู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมที่เรา อยากจะซื้อ หรือลองใช้โปรแกรมคำนวณของเว็บไซต์ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) เพื่อหาจำนวนเงินผ่อนคร่าว ๆ ที่สำคัญ อย่าลืมลงมือซ้อมผ่อนจริง ๆ ด้วย)
เลือกบ้านที่ไม่เกินกับความสามารถในการผ่อนชำระหนี้และมั่นใจว่าจะสามารถผ่อนได้ตลอดรอดฝั่ง (รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับบ้าน เช่น ค่าตกแต่ง ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน/คอนโดมิเนียม ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย)
ศึกษาและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง เพื่อเลือกธนาคารที่ให้เงื่อนไขที่รับได้
ควรมีเงินอย่างน้อย 20% ของราคาที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นเงินดาวน์ (เงินดาวน์ คือ เงินส่วนหนึ่งที่ผู้จะซื้อบ้านจ่ายให้โครงการที่อยู่อาศัย ก่อนที่จะจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อชำระ ค่าบ้านทั้งหมด ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยอาจให้ชำระเป็นก้อนเดียว หรือทยอยผ่อนชำระเป็น รายงวด โดยมักกำหนดไว้ประมาณ 15 - 20% ของราคาที่อยู่อาศัย)
เตรียมเอกสารเพื่อทำเรื่องขอกู้ให้พร้อม เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนา ทะเบียนบ้าน เอกสารเกี่ยวกับรายได้ เช่น ใบรับรองเงินเดือน หลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้าง สมุดเงินฝากธนาคาร
ตั้งเป้าหมายเก็บเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (นอกจาก เงินดาวน์และค่าผ่อนบ้าน) เช่น
1) ค่าประเมินหลักประกัน เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการประเมินว่าบ้านหรือ หลักประกันมีมูลค่าเท่าไร
2) ค่าจดจำนองและค่าอากรแสตมป์ ซึ่งต้องจ่ายให้แก่ส่วนราชการ เช่น สำนักงานที่ดิน
3) ค่าประกันภัย เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ขอสินเชื่อ เช่น การทำประกันอัคคีภัย ซึ่งหากเกิดความเสียหายกับที่อยู่อาศัยก็ยังมีเงินก้อนหนึ่งจากการ ประกันภัยมาจ่ายค่าบ้าน ช่วยลดภาระแก่ผู้ขอสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ธนาคารไม่สามารถบังคับให้ ผู้ขอสินเชื่อทำประกันภัยกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะผู้ขอสินเชื่อมีสิทธิที่จะเลือก ทำประกันภัยได้อย่างอิสระ
4) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้าน เช่น ค่าตกแต่ง ค่าปั๊มน้ำ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าส่วนกลาง (ถ้าอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม)
อย่าลืม...มีแผนสำรองหากผ่อนไม่ไหวกะทันหัน เช่น ออมเงินเผื่อฉุกเฉินทุกเดือน ถ้าเงินไม่พอผ่อนเดือนไหนก็ถอนมาจ่ายก่อนหรือขายทองที่เก็บไว้
แหล่งศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
2.การเช่าซื้อ (Hire Purchase)
เช่าซื้อ (hire purchase) มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อ โดยผู้เช่าซื้อทำสัญญา กับผู้ให้เช่าซื้อว่าจะชำระค่าสินค้าเป็นงวด ๆ ตามจำนวนเงินและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งระหว่างนั้น ผู้เช่าซื้อสามารถนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาใช้งานได้ก่อน โดยที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของ ผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะจ่ายเงินครบตามสัญญาจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นมาเป็นของ ผู้เช่าซื้อ เช่น การเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์
ลีสซิ่ง (leasing) มีลักษณะคล้ายกับสัญญาเช่าซื้อ คือ จะต้องชำระเงินค่าเช่า เป็นงวด ๆ ตามจำนวนเงินและเวลาที่กำหนดในสัญญาเช่า ต่างกันตรงที่เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อ ต่อสัญญาเช่า หรือส่งคืนทรัพย์ให้แก่ผู้ให้เช่า ส่วนมากผู้ที่ทำสัญญาลักษณะนี้ มักเป็นบริษัทหรือนิติบุคลที่ต้องการเช่าทรัพย์สินที่มีราคาแพงหรือเช่าทรัพย์สินในปริมาณมาก เช่น เครื่องจักร
ตัวอย่างการเช่าซื้อและลีสซิ่ง
เช่าซื้อ
นายรักชาติ (ผู้เช่าซื้อ) ตัดสินใจจะเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ABC (ผู้ให้เช่าซื้อ) โดย ผู้เช่าซื้อตกลงชำระเป็นรายงวดตามจำนวนเงินและระยะเวลาที่กำหนด รักชาติ สามารถนำรถยนต์มาใช้งานได้ก่อน โดยกรรมสิทธิ์จะตกเป็นของรักชาติต่อเมื่อได้ ชำระค่ารถยนต์ครบถ้วนแล้ว ซึ่งบริษัท ABC จะต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนรถ ให้เป็นชื่อของรักชาติภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับเอกสารประกอบการจด ทะเบียนครบถ้วน
ลีสซิ่ง
บริษัทไทยทอผ้าทำสัญญาลีสซิ่งกับบริษัทสำราญลีสซิ่ง เพื่อเช่าเครื่องจักรสำหรับ ทอผ้าจำนวน 10 เครื่อง โดยทำสัญญา 5 ปี ซึ่งบริษัทสำราญลีสซิ่งยินดีเปลี่ยน เครื่องให้หากเครื่องขัดข้อง เมื่อครบกำหนดสัญญา บริษัทไทยทอผ้าเห็นว่า มีเทคโนโลยีการทอผ้าแบบใหม่จากญี่ปุ่นซึ่งต้นทุนต่ำกว่า จึงไม่จำเป็นต้องใช้ เครื่องทอผ้ารุ่นเดิมอีกต่อไป จึงตัดสินใจคืนเครื่องทอผ้าให้แก่บริษัทสำราญลีสซิ่ง
การเช่าซื้อรถ
ลักษณะของการเช่าซื้อรถ
วงเงิน กรณีให้เช่าซื้อรถใหม่ประมาณ 75 - 80% กรณีรถใช้แล้ว จะขึ้นอยู่กับสภาพรถและราคาประเมินรถ
ระยะเวลาการผ่อนชำระ ประมาณ 12 - 72 เดือน
อัตราดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (fixed rate) ตลอดอายุสัญญา
4) วิธีการคิดดอกเบี้ย ส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ (flat rate) คือ คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งจำนวนและระยะเวลาในการผ่อนชำระทั้งหมด จากนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจะนำดอกเบี้ยที่คำนวณได้มารวมกับเงินต้น แล้วหารด้วยจำนวนงวดที่จะผ่อนชำระ ดังนั้น เงินที่ผ่อนชำระจะเท่ากันทุกงวด ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้กำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์จัดทำตารางแสดงภาระหนี้สินตามสัญญา สำหรับผู้เช่าซื้อแต่ละราย โดยให้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (effective interest rate) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบภาระดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี
วิธีคำนวนค่างวด
ขั้นที่ 1 คำนวนดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด
คำนวนดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลา (ปี)
ขั้นที่ 2 คำนวนจำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือน
จำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือน = เงินต้น + ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด
จำนวนงวด
📖ตัวอย่าง นายยอดชายต้องการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ราคา 60,000 บาท ผู้ให้เช่าซื้อ คิดอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ 4% ต่อปี โดยให้ระยะเวลาผ่อน 60 งวด (5 ปี) จะต้องจ่ายค่างวด เป็นเงินเท่าไร
ขั้นที่ 1 คำนวนดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด
ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด = 60,000 บาท x 4 x 5 ปี = 12,000 บาท
100
ขั้นที่ 2 คำนวนจำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือน
จำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือน = 60,000 บาท + 12,000 บาท = 12,000 บาท
60 งวด
❕ ข้อควรรู้
หากผู้เช่าซื้อเคยค้างชำระ และงวดต่อมาชำระหนี้ไม่ครอบคลุมยอดหนี้คงค้างของงวดก่อน หรือไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เรียกเก็บ อาจส่งผลให้เงินที่ชำระ ค่างวดนั้นไม่พอตัดเงินต้น และยังคงเป็นหนี้ค้างชำระซึ่งจะถูกคิดเบี้ยปรับและค่าใช้จ่ายในการ ติดตามทวงถามหนี้ในงวดถัดไปได้อีก (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 ระบุว่า หากเงินที่ลูกหนี้จ่ายเพื่อชำระหนี้ไม่เพียงพอ ให้นำเงินที่ลูกหนี้ชำระนั้นไปหักค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก่อน แล้วจึงหักดอกเบี้ย ที่เหลือจึงนำไปหักเงินต้น)
หากผู้เช่าซื้อต้องการชำระค่าเช่าซื้อทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีก่อนครบกำหนด ผู้ให้เช่าซื้อต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยให้คิดคำนวณตามมาตรฐานการบัญชีว่าด้วยเรื่องสัญญาเช่า
ผู้ให้เช่าซื้อสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดกัน อย่างไรก็ดี ผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ชำระหนี้ ที่ค้างชำระภายใน 30 วันนับจากวันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ หากเลยกำหนดและผู้เช่าซื้อยังไม่มา ชำระ ผู้ให้เช่าซื้อจึงจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและดำเนินการนำรถกลับคืนได้แต่หากผู้เช่าซื้อได้ นำเงินไปชำระครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ผู้ให้เช่าซื้อกำหนดไว้ ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิ์ที่จะยึดรถ คืนจากผู้เช่าซื้อ
การยึดรถจะใช้กำลังขู่เข็ญหรือทำร้ายร่างกายไม่ได้ หากมีการกระทำดังกล่าวให้แจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ และร้องเรียนตาม พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ได้แก่ กรมการปกครอง สถานีตำรวจ ท้องที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ทำการปกครองจังหวัด และที่ว่าการอำเภอ
❕ ข้อควรระวัง
กรณีมีผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นผู้ให้เช่าซื้อรถมาติดต่อ ผู้เช่าซื้อควรขอตรวจสอบเอกสารแสดงตนว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจริงหรือไม่ เช่น ใบรับมอบอำนาจ บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ และโทรศัพท์ติดต่อผู้ให้เช่าซื้อโดยตรงว่ามีการมอบอำนาจให้ บุคคลตามที่กล่าวอ้างมายึดรถจริงหรือไม่ด้วย รวมถึงตรวจสอบประวัติการค้างชำระของตนเอง ว่าได้เข้าสู่กระบวนการยึดรถแล้วหรือไม่ อย่างไร
5. หลังจากผู้ให้เช่าซื้อยึดรถไปแล้ว ก่อนที่จะนำรถออกขาย ต้องแจ้ง ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน (ถ้ามี) ทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิ์ซื้อรถคืน หากผู้เช่าซื้อไม่ใช้สิทธิ์ผู้ให้เช่าซื้อก็จะนำออกขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาด
หากขายได้ราคามากกว่ายอดหนี้ที่ค้างชำระ ผู้ให้เช่าซื้อต้องคืนเงิน ส่วนเกินให้แก่ผู้เช่าซื้อ
หากขายได้ราคาน้อยกว่ายอดหนี้ที่ค้างชำระ ผู้เช่าซื้อยังต้องชำระหนี้ ส่วนต่างให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบจำนวน
6. แม้ว่ารถจะให้ความสะดวกสบายแต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากมายตามมา นอกเหนือไปจากค่าผ่อนรถในแต่ละเดือน ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับค่าใช้จ่ายได้ก็ควรชะลอการซื้อรถออกไปก่อน และใช้เวลาช่วงที่ยังไม่พร้อมนี้เก็บเงินดาวน์เพิ่มขึ้นเพื่อจะได้ ลดภาระค่าผ่อนชำระในอนาคต
ตัวอย่างประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถ * (ไม่รวมค่าผ่อนรถ)
*เป็นเพียงข้อมูลค่าใช้จ่ายประมาณการเบื้องต้น ที่อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ซึ่งขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถ ประเภท อายุการใช้งานของรถ รวมถึงลักษณะการใช้งานรถที่แตกต่างกัน
ก่อนตัดสินใจเช่าซื้อรถสักคัน ควรสำรวจความพร้อมของตนเอง ดังนี้
ความสามารถในการผ่อนชำระกับรายได้ตนเอง ภาระผ่อนหนี้เมื่อรวมกับหนี้อื่นที่มีทั้งหมดแล้วไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน และมีความสามารถในการจ่าย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะตามมาจากการเช่าซื้อรถ
มีเงินออมเพื่อจ่ายเงินดาวน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายลงไปได้อีกมาก
ศึกษาและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ เงื่อนไข อื่น ๆ ของผู้ให้เช่าซื้อหลาย ๆ แห่ง และต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอให้นั้นเป็นอัตราดอกเบี้ย ต่อเดือนหรือต่อปี
เลือกระยะเวลาผ่อนที่สั้นลง จะช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยลงไปได้
3. สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
เป็นสินเชื่อที่ให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาและไม่ต้องมีทรัพย์หรือทรัพย์สินเป็น หลักประกัน ซึ่งผู้ให้กู้ที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณา คุณสมบัติของผู้กู้และวงเงินที่ให้แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของผู้กู้ โดยสามารถแบ่งเป็น
1) สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการอุปโภคบริโภค หรือใช้ในการประกอบอาชีพ ปัจจุบันมีรูปแบบให้บริการหลากหลาย เช่น
1.1) เช่าซื้อสินค้ารายชิ้น (ไม่รวมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และ เครื่องจักร) ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลจะออกบัตรสมาชิก หรือที่มักเรียกกันว่า “บัตรผ่อน สินค้า” ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรไปใช้ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ร่วมรายการได้เช่น ซื้อ เครื่องใช้ไฟฟ้า และต้องชำระเงินแก่ผู้ให้บริการตามงวดที่ตกลงกัน
1.2) วงเงินสำรองพร้อมใช้ผ่านบัตรกดเงินสด หลังจากที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อแล้ว ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรไปเบิกถอนเงินออกมาใช้ได้ ตลอดเวลา ซึ่งผู้ถือบัตรต้องชำระคืนแก่ผู้ให้บริการทุกเดือน โดยสามารถ ชำระเต็มจำนวน มากกว่าขั้นต่ำ หรือขั้นต่ำตามที่ผู้ให้บริการกำหนดได้
1.3) รับเงินสดทั้งก้อน แล้วทยอยผ่อนชำระคืนเป็น งวดตามที่ได้ตกลงกับผู้ให้บริการ
2) จำนำทะเบียนรถแบบโอนลอย ผู้กู้ต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ โดย นำสมุดทะเบียนรถ (blue book) มาวางไว้ที่ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นการโอนลอย ทะเบียนรถไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โดยผู้กู้ยังสามารถครอบครองรถและใช้รถได้ ตามปกติซึ่งผู้กู้จะได้รับเงินก้อนนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และต้องชำระคืนเป็นรายงวด แก่ผู้ให้กู้ตามที่ตกลงไว้
ข้อควรรู้
คุณสมบัติผู้สมัคร เป็นบุคคลที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีฐานะ ทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ได้
วงเงิน พิจารณาตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
วงเงินของสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพและ สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้
3) อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม รวมกันแล้ว ไม่เกิน 25% ต่อปี แบบลดต้นลดดอก (effective rate) สำหรับสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน และ ไม่เกิน 24% ต่อปีแบบลดต้นลดดอก (effective rate) สำหรับสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็น ประกัน นอกจากนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการได้จ่ายให้แก่บุคคลภายนอก เช่น ค่าใช้จ่ายติดตามทวงถามหนี้ แต่จะเรียกเก็บได้ไม่เกินจากที่ได้ประกาศไว้
4) วิธีการคิดดอกเบี้ย คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (effective rate)
ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ควรสำรวจความพร้อมของตนเองก่อน ดังนี้
เลือกใช้บริการจากสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาต เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ได้รับเงินกู้เต็มจำนวน ดอกเบี้ยถูกกว่าเงินกู้นอกระบบ และ มีหน่วยงานทางการกำกับดูแล
ศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลเรื่องอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ก่อนการเลือกใช้บริการ
ระมัดระวังโฆษณาที่ระบุในทำนองว่า “ดอกเบี้ยน้อยนิด” โดยต้อง ดูว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้หน่วยอะไร เช่น ถ้าเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อเดือน ให้คูณ 12 จึงจะ ได้อัตราดอกเบี้ยต่อปี
อย่าใช้บริการเพียงเพราะต้องการของแถม
4. บัตรเครดิต
เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจ บัตรเครดิต (ผู้ออกบัตร) เพื่อให้ผู้บริโภค (ผู้ถือบัตร) นำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทน เงินสด โดยไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก หรือทำรายการซื้อสินค้าและบริการแบบออนไลน์ผ่าน อินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งผู้ออกบัตรจะจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าไปก่อน และผู้ถือบัตรสามารถใช้ บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสดออกมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ด้วย โดยไม่เกินวงเงินที่ผู้ออกบัตร กำหนดไว้ และจะถูกเรียกเก็บเงินพร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) จากผู้ออกบัตรตามระยะเวลาที่กำหนด
ลักษณะสำคัญของบัตรเครดิต
คุณสมบัติผู้สมัคร มีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือมีเงินฝากหรือสินทรัพย์ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
วงเงิน พิจารณาตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
3. อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม รวมกันแล้วไม่เกิน 16% ต่อปี
หากชำระหนี้บัตรเครดิตตรงเวลาและเต็มจำนวน (โดยไม่ได้เบิกถอน เงินสดเลย) จะได้รับระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย ประมาณ 45 – 56 วัน
กรณีเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิตจะไม่มีช่วงเวลาปลอดดอกเบี้ยและ ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเบิกถอนได้อีกไม่เกิน 3% ของจำนวนเงินสดที่ถอน และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าธรรมเนียมการเบิกถอน
หากชำระหนี้บัตรเครดิตล่าช้า ชำระขั้นต่ำหรือชำระบางส่วน หรือมี การเบิกถอนเงินสด จะถูกคิดดอกเบี้ย โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ (1) คิดเต็มจำนวนตั้งแต่ วันที่ใช้บัตรซื้อของ/จ่ายค่าบริการหรือถอนเงิน ถึงวันก่อนหน้าวันชำระเงิน และ (2) คิดตามยอดคงค้างตั้งแต่วันที่ชำระถึงวันสรุปยอดถัดไป (ดูตัวอย่างการคำนวณได้ที่เอกสารประกอบใบแจ้ง หนี้ หรือเว็บไซต์ของบัตรเครดิต)
4. วิธีการคิดดอกเบี้ย เป็นแบบลดต้นลดดอก (effective rate)
❕ ข้อควรรู้
การนำบัตรเครดิตไปใช้ในต่างประเทศ ผู้ออกบัตรอาจคิดค่าความเสี่ยง จากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2 – 2.5% ของยอดใช้จ่าย จึงควรศึกษาเงื่อนไขจากผู้ออกบัตร ว่ามีการคิดหรือไม่ อย่างไร
การชำระเงิน ควรชำระเต็มจำนวนและตรงเวลา แต่หากไม่สามารถ ชำระเต็มจำนวนได้ ก็ต้องชำระหนี้ขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออก มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 จากเดิมที่ กำหนดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ 10% ลดลงเหลือ 5% จนถึงสิ้นปี 2565 แล้วปรับขึ้นเป็น 8% สำหรับปี 2566 และ 10% เท่าเดิม ตั้งแต่ปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 3 กันยายน 2564) แต่ใน สถานการณ์ปกติ ผู้ออกบัตรอาจกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำไว้ด้วย เช่น ชำระขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของยอดหนี้คงค้างแต่ต้องไม่น้อยกว่า 1,000 บาท
อย่างไรก็ดี หากมีรายการผ่อนชำระเงื่อนไข 0% อยู่ในใบแจ้งหนี้ ยอดผ่อนชำระขั้นต่ำอาจจะมากกว่าที่กำหนดตามหลักเกณฑ์ได้
📖ตัวอย่าง หากมีการใช้จ่ายซื้อโซฟา 10,000 บาท และมีรายการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า 20,000 บาท ซึ่งตกลงผ่อนชำระ 0% จำนวน 4 เดือน เดือนละ 5,000 บาท
การคำนวณรายการเรียกเก็บขั้นต่ำ
ยอดขั้นต่ำของรายการซื้อโซฟา = 1,000 บาท (10,000 x 10%)
ยอดผ่อนชำระรายการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า = 5,000 บาท
ดังนั้น ยอดขั้นต่ำในรอบบิลนั้นจะเรียกเก็บเท่ากับ 6,000 บาท (1,000 + 5,000)
ข้อคิดก่อนตัดสินใจมีบัตรเครดิต
ทำความเข้าใจเงื่อนไขก่อนสมัคร
ใช้บัตรเครดิตเท่าที่จำเป็นและมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายคืนได้
ชำระเต็มจำนวน ตรงเวลา หรือจ่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อให้จ่ายดอกเบี้ยน้อยที่สุด
อย่าทำบัตรเพราะเห็นแก่ของแถม
5. สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano finance)
เป็นสินเชื่อรายย่อยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อนำไปใช้ในการ ประกอบอาชีพโดยที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใด ๆ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 33% ต่อปี แบบลดต้น ลดดอก (effective rate)
6. สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (Pico finance)
เป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ทั้งแบบมีและไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน โดย ผู้ประกอบธุรกิจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง สินเชื่อประเภทนี้ผู้กู้ต้องมี ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในจังหวัดที่สำนักงานใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจตั้งอยู่เท่านั้น แต่ไม่รวมถึง สินเชื่อเพื่อการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ สินเชื่อเพื่อสวัสดิการพนักงานที่หน่วยงาน ต้นสังกัดได้มีการทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย คิดอัตรา ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม รวมกันแล้วไม่เกิน 36% ต่อปี แบบลดต้นลด ดอก (effective rate)
สินเชื่อพิโกพลัส วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท (ในกรณีขอสินเชื่อเกินกว่า 50,000 บาท ต้องจัดทำสัญญากู้เงินอย่างน้อย 2 สัญญา โดยวงเงินสินเชื่อต่อสัญญา ไม่เกิน สัญญาละ 50,000 บาท) โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ ดังนี้
วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก คิดได้ไม่เกิน 36% ต่อปี แบบ ลดต้นลดดอก (effective rate)
วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกิน 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท คิดได้ ไม่เกิน 28% ต่อปี แบบลดต้นลดดอก (effective rate)
แหล่งศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
เกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน
การพิจารณาว่าจะให้สินเชื่อหรือไม่นั้น ผู้ให้สินเชื่อจะพิจารณาข้อมูลจากหลายด้าน เช่น คุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ อาชีพ แหล่งรายได้ ประวัติการขอสินเชื่อ ประวัติการชำระหนี้ วงเงินที่ขอ และวัตถุประสงค์ในการขอกู้ ซึ่งผู้ให้สินเชื่อจะนำมาพิจารณาว่าสามารถอนุมัติ สินเชื่อให้ได้หรือไม่ หากถูกปฏิเสธสินเชื่อ ผู้กู้สามารถขอให้สถาบันการเงินชี้แจงเหตุผลของการไม่อนุมัติสินเชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงตนเพื่อให้ได้รับสินเชื่อในอนาคตต่อไป
สาเหตุที่สถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อ อาจเกิดจาก
มีประวัติค้างชำระ หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติค้างชำระหนี้และยังไม่สะสาง ภาระหนี้ ผู้ให้สินเชื่ออาจเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการชำระคืน จึงไม่อนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น ควรติดต่อเจ้าหนี้ที่ตนเองมีประวัติค้างชำระเพื่อชำระหนี้ที่ค้างให้เสร็จสิ้น และพยายามสร้าง ประวัติการชำระเงินที่ดีอย่าให้มีประวัติการค้างชำระอีก เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ สินเชื่อในอนาคต
แหล่งรายได้ขาดความน่าเชื่อถือ อาจเกิดจากผู้ขอสินเชื่อประกอบอาชีพ อิสระหรือมีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งผู้ให้สินเชื่ออาจเห็นว่าจะส่งผลต่อการชำระหนี้คืนในอนาคต ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ให้สินเชื่อ ผู้ขอสินเชื่อควรเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน และนำเงินที่ได้จากการประกอบอาชีพเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อ แสดงให้เห็นว่า ผู้ขอสินเชื่อมีรายได้เพียงพอและมีความสามารถในการชำระหนี้
ขาดความสามารถในการชำระหนี้ สถาบันการเงินอาจเห็นว่าวงเงินสินเชื่อ ที่ขอสูงเกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ขอสินเชื่ออาจต้องหารายได้เพิ่มและ นำหลักฐานมาแสดง หรือหาผู้กู้ร่วม เพื่อให้ได้วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ