ความเป็นมา เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา เห็นว่าการทำการเกษตรโดยเฉพาะการทำนา และการทำไร่ มีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนเรื่องปุ๋ยเคมี ซึ่งเมื่อได้ผลผลิตการเกษตรมาจำหน่าย หักลบออกจากต้นทุนการผลิตแล้วมีกำไรต่อหน่วยเพียงเล็กน้อย หรือบางครั้งก็ขาดทุน อีกทั้งการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงปลูก เพียงอย่างเดียวทำให้ดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ประกอบกับในขณะนั้นแนวทางการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการกล่าวขานกันมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ จึงได้หันมาศึกษาแนวทางการทำการเกษตรตามแนวทางดังกล่าว อย่างจริงจัง พบว่าการนำปลามาผ่านกระบวนการหมักให้ย่อยสลาย แล้วนำไปใส่ในแปลงปลูกพืชทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และยังทำให้รักษาสภาพดินที่เสื่อมโทรมให้ค่อยๆ กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม
องค์ความรู้ในการประกอบอาชีพและงานที่ภาคภูมิใจ องค์ความรู้การทำปุ๋ยน้ำหมักอินทรีย์จากปลา โดยการจัดหาปลาซึ่งไม่จำกัดชนิด ขนาด และสภาพ แต่เน้นที่ราคาต่ำ มาผ่านกระบวนการหมักร่วมกับกากน้ำตาลในถังหมัก ระยะเวลาหนึ่งแล้ว นำไปใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยในแปลงปลูกพืช ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนดังนี้
1. นำปลา 50 กิโลกรัม มาใส่ในถังหมัก (ถังพลาสติกสีฟ้ามีฝาปิดขนาด 150 ลิตร)
2. นำกากน้ำตาลใส่ทับลงไปจำนวน 40 กิโลกรัม ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 25 - 30 วัน
3. เมื่อครบเวลาตามกำหนดแล้ว เติมน้ำใส่ลงไปให้เต็มถังแล้วหมักต่อไปอีกเป็นเวลา 2 เดือน (วิธีนี้ทำให้ไม่มีกลิ่นมาก) เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการหมัก
4. นำปุ๋ยน้ำหมักปลาที่ได้นี้ไปผสมเจือจางกับน้ำเข้มข้นตามความเหมาะสมในถังขนาด 1,000 ลิตร แล้วใช้แทร็กเตอร์ลากถังเพื่อปล่อยน้ำหมักดังกล่าวนี้ลงสู่แปลงปลูกให้ทั่วแล้วทำการเตรียมแปลงปลูกพืช โดยทำซ้ำในลักษณะนี้ทุกๆ ปี ก่อนการปลูกพืช
5. ถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรปลูกพืชหมุนเวียนสลับกัน เช่น ปลูกมันสำปะหลัง หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวโพด และไถกลบตอซังข้าวโพดพร้อมปุ๋ยน้ำหมักปลา เป็นต้น งานที่ภาคภูมิใจ การใช้ปุ๋ยน้ำหมักปลาดังกล่าวนี้กับพื้นที่การเกษตรของตนเองเป็นประจำ โดยไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีเลยแม้แต่น้อยในพื้นที่การเกษตรทั้งหมดประมาณ 200-300 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชจำพวก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง (ผลิตปุ๋ยน้ำหมักปลาใช้เองทุกปีติดต่อกันเป็นเวลานานโดยใช้ปลามาหมักปีละประมาณ 20 ตัน) ทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก ต้นทุนการผลิตจึงต่ำ ผลผลิตที่ขายได้จึงมีกำไรมาก ถึงแม้ว่าราคาผลผลิตจะตกต่ำก็ตาม ทำให้มีเงินเก็บเป็นกำไรสุทธิมากทุกๆ ปี ความภาคภูมิใจที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การได้เผยแพร่องค์ความรู้นี้ให้กับผู้ที่สนใจทั้งในพื้นที่ และต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมาก พร้อมๆ กับการเผยแพร่องค์ความรู้การทำการเกษตรในพื้นที่จำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โมเดล 1 ไร่ 1 แสน เนื่องจากที่บ้านเป็นศูนย์เรียนรู้ตัวอย่างของอำเภอสนามชัยเขต และของจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย
รูปภาพโดย สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอราชสาส์น