โดยมีเรื่องเล่าว่า พระมหาเถระรูปหนึ่งธุดงค์มาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาหยุดพักอยู่ที่ตั้งพระบาทกบในเวลานี้ และได้สวดมนต์ภาวนา ณ ที่นั้นขณะเดียวกันที่พญากบได้ขึ้นจากฝั่งน้ำแม่ระกระโดดเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอได้ยินเสียงพระมหาเถระสวดมนต์ก็มานั่งฟัง ด้วยพระพุทธเจ้า มันก็ตั้งสตินั่งฟังอยู่ด้วยอาการสงบนิ่งในขณะที่พระกำลังสวดอยู่ เผอิญมีคนจับปลาเดินมา ในมือถือเหล็กแหลมใช้แทงสัตว์น้ำมาด้วย เมื่อเดินมาพบพระมหาเถระกำลังสวดมนต์อยู่ แต่ไม่เห็นกบที่กำลังฟังธรรมอยู่ในที่นั้น คนหาปลาก็เอาเหล็กแหลมที่ถือมาปักตั้งไว้บนพื้นดิน แล้วเดินเข้าไปกราบนมัสการพระเถระรูปนั้นและนั่งฟังเทศน์อยู่จนจบแต่ทว่าเหล็กแหลมที่คนหาปลาปักลงดิน บังเอิญไปถูกพญากบอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งพญากบก็ยังไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังฟังพระสวดเพลินอยู่ จนกระทั่งคนหาปลากราบลาพระมหาเถระ แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับมาถอนเหล็กแหลมที่ปักอยู่ จึงได้เห็นและร้องอุทานว่า
“โอ้หนอ เหล็กของเราแทงถูกกบตายเสียแล้ว”
ฝ่ายพระมหาเถระได้ยินเสียงคนหาปลารำพัน เลยได้เดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จึงทราบอย่างกระจ่างแจ้ง พร้อมบอกกับคนหาปลาว่า“อ้าว ท่านนายพรานปลาแทงกบตายเสียแล้ว นี่ไม่ใช่กบธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นพญากบที่มานั่งฟังธรรม”คนหาปลาก็บอกกับพระมหาเถระว่า“เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากฟังธรรมที่ท่านเทศน์ แต่การเหล็กแหลมติดตัวเข้าไปด้วยเป็นการไม่สมควร จึงได้ปักดินตั้งไว้ โดยไม่รู้ว่าแทงถูกพญากบตายอย่างไม่ตั้งใจ”
พระมหาเถระรูปนั้นมีความสงสารพญากบ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วเอาเท้าเหยียบลงที่หลังกบไว้เป็นรอยพระบาท เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปภายหน้า ส่วนพญากบที่ตายอย่างไม่รู้ตัว เพราะกำลังนั่งฟังธรรมเพลินอยู่ จึงได้ไปจุติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์ มีเทพยดาทั้งหลายเป็นบริวารอยู่มากมายหลายโกฏิ เนื่องจากผลบุญกุศลที่ได้ตั้งใจสดับฟังเทศน์ ส่งผลให้พญากบได้ไปจุติเป็นเทพอยู่ ๗ ชาติ