ชนเผ่าตองเหลืองมลาบรี

ชุมชนเผ่าตองเหลือง มลาบรี บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่

แนะนำชนเผ่าตองเหลือง

ข้อมูลทั่วไป

ชนเผ่าตองเหลือง มลาบรี ตั้งอยู่หมู่บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา หมู่ที่ 13 ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ชุมชนเผ่าตองเหลืองมลาบรีบ้านห้วยฮ่อมพัฒนา อยู่ห่างจากอำเภอร้องกวาง 42 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดแพร่ 47 กิโลเมตร ทิศเหนือ ติดต่อกับบ้านขุนสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านห้วยฮ่อมบน อำร้องกวาง จังหวัดแพร่ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลเมืองลี อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดอุตรดิตถ์ หมู่บ้านอยู่ท่ามกลางภูเขาที่สลับซับซ้อน ในปี พ.ศ.2519 หมู่บ้านแบ่งออกเป็น 2 หย่อมบ้าน คือบ้านห้วยฮ่อมบน (บ้านผามุง) และบ้านห้วยฮ่อมล่าง (บ้านน้ำกล้า) การคมนาคมยังห่างไกลความเจริญ ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ (ผี) รองลงมานับถือศาสนาคริสต์ ชุมชนบ้านมลาบรีอยู่หย่อมบ้านห้วยฮ่อมบน

ในปี พ.ศ. 2528 ได้เริ่มดำเนินการจัดการศึกษาเพื่อชุมชนบนพื้นที่สูง โดยมี ครูศศช. จัดการศึกษาให้แก่เด็กและผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน และก่อสร้างอาคาร โดยศูนย์การาศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแพร่ จนถึงปัจจุบัน มีศูนย์การเรียน(ศศช.)จำนวน 2 ศูนย์การเรียน มีชื่อว่าศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยฮ่อมล่าง และศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยฮ่อมบน ตั้งอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลบ้านเวียง อำร้องกวาง จังหวัดแพร่ เป็นสถานศึกษาอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอร้องกวาง สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดแพร่ ให้บริการด้านการศึกษาสำหรับประชาชนที่อาศัยในชุมชนบนพื้นที่สูง

ชนเผ่ามาลาบรี (มละ) หรือ ผีตองเหลืองมาลาบรี (มละ) หรือ ผีตองเหลือง ชนกลุ่มนี้เรียก ตัวเองว่า “คนป่า” หรือ “มลาบรี” ไม่ชอบถูกเรียกว่า “ผีตองเหลือง” แต่ที่ผู้คนในที่ราบ คุ้นเคยกับคำว่า “ผีตองเหลือง” อาจเนื่องมาจากคนป่ากลุ่มนี้ มักชอบหายตัวไปอย่างว่องไว เมื่อเผชิญกับคนแปลกหน้าจะทิ้งไว้เพียงเพิงพัก ซึ่งมุงด้วยใบตองกล้วยป่าที่ผ่านการใช้งานมาหลายวัน จนใบตองเปลี่ยนจากสีเขียว จนเป็นสีเหลือง มลาบรีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มองโกลอยด์ดั้งเดิม เป็นกลุ่มชนเร่ร่อนไม่ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง เดิมมีถิ่นฐานอยู่ใน เขตจังหวัด สายะบุรี ประเทศลาว ต่อมาเริ่มอพยพไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ เช่น แถบภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ แถบภูกระดึง จังหวัดเลย และตามดอยสูงในป่าทางภาคเหนือ ของประเทศไทย ปัจจุบันชนเผ่ามลาบรี อาศัยอยู่ในเขต อ.เวียงสา และ อ.สันติสุข จ.น่าน มลาบรีอาศัย อยู่กระจัดกระจาย ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในเขตจังหวัดแพร่และน่านเท่านั้น

ชนเผ่ามละ หรือที่คนอื่นเข้าใจในชื่อเผ่าตองเหลืองหรือ มลาบรี โดยสามารถแบ่งความหมายของชื่อของชนเผ่านี้ได้ดังนี้คือ “มละ” แปลว่า คน ( ซึ่งคำนี้ต้องอ่านควบกันทั้งสองพยางค์ทีเดียว) เป็นคำที่ชนเผ่านี้ใช้เรียกชนเผ่าของตนเอง และจะใช้เรียกชนเผ่าอื่นๆหรือ ชนชาติอื่นว่า “กวั๊ร” ส่วนคำว่า บรี นั้นหมายถึงป่า ซึ่งเป็นคำที่เพิ่งมาเพิ่มตอนหลังๆ จึงทำให้เกิดคำว่า มลาบรี “Mlabri” หมายถึง “ คนป่า ” แต่ชนเผ่านี้อยากให้เรียกพวกเขาว่า “ชนเผ่ามละ” ที่หมายถึง “คน” ไม่ใช่ “มลาบรี” ที่หมายถึง “คนป่า” เพราะพวกเขาไม่ใช่คนป่า พวกเขาเพียงใช้ชีวิตอยู่ในป่าเท่านั้น หรือเป็นชื่อที่พวกเขาเองไม่ได้ใช้เรียกกับตัวเอง แม้กระทั่งภายหลังเริ่มมีคำว่า “ผีตองเหลือง” เป็นคำที่คนอื่นตั้งให้พวกเขา ทั้งที่พวกเขาไม่ได้เป็นผี เขาก็เป็นมนุษย์เสมือนเราทุกคน คำนี้เป็นคำที่ “ชนเผ่ามละ” ไม่ชอบ การไม่เรียกชื่อนี้กับพวกเขาถือเป็นการให้เกียรติ คำว่า ผีตองเหลืองมาจากเมื่อ “ชนเผ่ามละ” อาศัยอยู่ในป่า มีการหาของป่ากินเป็นอาหารเช่น เผือก มัน กล้วย หน่อ สัตว์ป่า ผึ้ง เป็นต้น เมื่ออยู่ได้ 2-3 วัน ก็จะมีการเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ๆโดยมีผู้นำครอบครัวแต่ละครอบครัวมาคุยกันก่อน บางครั้งการย้ายนั้นไม่ใช่ว่าอาหารในป่าหมด แต่เป็นเพราะว่า ชนเผ่า “มละ” นั้นเกรงกลัวมนุษย์ ที่จะไปรุกราน รบกวน หรือทำร้ายพวกเขา ฉะนั้นเมื่อมีคนแปลกหน้าหรือได้ยินเสียงคนก็ตามเข้าไปใกล้เขตที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขาก็จะพาครอบครัวหลบหนีอย่างว่องไว โดยทิ้งไว้แค่เพิงพักอาศัยเท่านั้น เพราะว่าเมื่อก่อนเคยมีญาติพี่น้องของพวกเขาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา จึงทำให้พวกเขาเกรงกลัวคนมาก ต้องย้ายไปเรื่อยๆ ไม่เป็นที่เป็นแหล่ง ไม่กล้าส่งเสียงดัง ไม่กล้าสุมไฟเป็นกองใหญ่ ขณะเดียวกัน เพิงพักที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งมุงด้วยใบตองเขียวสดก็เริ่มเหลืองและแห้งไปในที่สุด จึงเป็นที่มาของคำว่า “ ผีตองเหลือง” ในเวลาต่อมา แต่คำที่พวกเขาภูมิใจและอยากให้คนทั่วไปเรียกมากที่สุด คือ คำว่า ชนเผ่ามละ

ชนเผ่า มละ อาศัยอยู่ในพื้นที่ 2 จังหวัดในประเทศไทย คือ ที่หมู่บ้านห้วยหยวก อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ส่วนในจังหวัดแพร่ อาศัยอยู่ในพื้นที่ บ้านทะวะ อำเภอสอง และบ้านห้วยฮ่อมอำเภอร้องกวาง ซึ่งชุมชนแต่ละที่ก็เกิดจากการอพยพโยกย้ายไปมา จนก่อตั้งเป็นชุมชนในเวลาต่อมา

ภาษา

ชนเผ่ามละ มีภาษาพูดของตนเองมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ไม่เคยมีตัวอักษรใช้ แต่มาปัจจุบันเพื่อที่จะเก็บเรื่องราวของพวกเขา และไม่ให้คนรุ่นใหม่ ลืมภาษาของตนเอง เยาวชนของชนเผ่ามละ จึงมีการนำตัวอักษรของไทยมาดักแปลงเป็นภาษาเขียนของชนเผ่า มละ ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของการคิดค้น และดักแปลง เพื่อให้สามารถปรับเข้ากับการออกเสียงของชนเผ่า มละ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้อย่างลงตัว ตัวอย่างภาษาเขียนของชนเผ่า มละ เช่น คำว่า มาแล้ว เขียนว่า อา-เลฮ-แหละ อ่านว่า อ่า-เล่-แหละ หรือคำว่า เธอมา เขียนว่า โอฮ-เลฮ อ่านว่า โอ้-เล่ จากที่นี้เราจะสังเกตเห็นว่า ชนเผ่ามละ มีการนำพยัญชนะของไทยบางตัวมาใช้เป็นสระ หรือกำหนดเสียงสูง เสียงต่ำ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นว่าปัจจุบันชนเผ่ามละ ได้ย้ายถิ่นฐานลงมาอยู่ในพื้นราบ แต่ชนเผ่ามละ เองก็ยังมีความภูมิใจในภาษาที่พวกเขาใช้กันอยู่ เมื่อมีเด็กเกิดมาก็จะสอนภาษา มละ เป็นภาษาแรก

วิถีชีวิต และลักษณะบ้านเรือน

วิถีชีวิตด้านการละเล่น

สมัยก่อนชนเผ่ามละไม่มีของเล่นหรือการละเล่นเป็นของตนเอง เนื่องจากกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน จะมีก็แต่การนำเถาวัลย์มาผูกกับต้นไม้ แล้วทำเป็นชิงช้าให้กับเด็กเล่นเท่านั้น แต่มาระยะหลังเมื่อลงมาอาศัยอยู่กับม้ง เยาวชนของชนเผ่ามละ ก็เริ่มมีการนำของเล่นจากชนเผ่าม้งมาเล่น เช่น ปืนกระบอกไม้ไผ่ ไม้โกงกาง เป็นต้น

วิถีชีวิตด้านอาชีพ

ชนเผ่า มละ สมัยที่อาศัยอยู่ในป่าไม่ได้มีอาชีพอะไร เพียงหาของป่ากินประทานชีวิตไปเรื่อยๆ กระทั่งภายหลังเมื่อลงมาอาศัยอยู่กับชนเผ่าม้ง ก็มีการรับจ้างทำไร่ ทำสวน โดยได้ค่าตอบแทนเป็นข้าวปลาอาหารบ้าง สัตว์เลี้ยงบ้าง แต่ปัจจุบัน ชนเผ่า มละ เริ่มหันมาทำไร่ ปลูกข้าว, ข้าวโพด โดยเรียนรู้การเพาะปลูกพืชต่างๆ จากชนเผ่าม้ง นอกจากอาชีพรับจ้าง, ทำไร่ทำสวนแล้ว ยังมีการเลี้ยงสัตว์ทั้งไก่ หมู่ เพื่อไว้กินเองและขายบ้างบางครั้ง อีกทั้งยังมีอาชีพเสริมคือ งานถักเปล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแพร่ และคุณบุญยืน ทำหน้าที่ในการหาตลาดให้กับชาวบ้าน และมีการพัฒนาอาชีพจาภูมิปัญญา การทำกระเป๋าสานหรือกระเป๋ารักษ์โลก(กระเป๋าญอก) โดยการสนับสนุนจาก ศศช.บ้านห้วยฮ่อมล่าง กศน.อำเภอร้องกวาง

วิถีชีวิตด้านสังคมและครอบครัว

ชนเผ่า มละ นิยมอยู่กันเป็นครอบครัว เมื่อลูกๆแต่งงานก็จะแยกบ้านออกไป สมัยก่อนชนเผ่ามละมีบุตรเยอะบางคนมีประมาณ 10 คน เนื่องจากไม่รู้วิธีคุมกำเนิด ชนเผ่า มละ เองมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนระหว่างชายกับหญิง เช่น ผู้ชายออกไปล่าสัตว์ หาผึ้ง ส่วนผู้หญิงก็ตัดไม้สร้างเพิงพัก หาเผือก หามัน ดูแลลูกๆ ดันไฟ หุงข้าว ตักน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้หญิงและผู้ชายชนเผ่า มละ ก็ยังมีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่วนลูกชายเมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็จะย้ายออกไปสร้างบ้านใหม่อยู่อีกบ้านหลังหนึ่ง ส่วนลูกสาวเมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็จะไปอาศัยอยู่ด้วยกันกับผู้ชาย แต่ถึงจะย้ายออกไปอยู่อีกบ้านหนึ่งก็ตาม ทั้งลูกชายและลูกสาวก็ยังมีการมาช่วยเหลือ ดูแล พ่อและแม่ของตนอยู่

วิถีชีวิตด้านการศึกษา

สมัยก่อนชนเผ่า มละ ไม่ได้รับการศึกษา เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในป่า แต่มาปัจจุบันเยาวชน เมื่อลงมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ข้างล่าง ชนเผ่า มละ ในหมู่บ้านห้วยฮ่อม ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ต่างได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยมีโรงเรียนบ้านห้วยฮ่อมพัฒนา ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านของชนเผ่าม้ง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านของ “ชนเผ่ามละ” ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นโรงเรียนที่เด็กชนเผ่า มละ เข้าไปเรียน เด็กๆจะต้องเดินทางไปกลับโรงเรียนทุกวัน หรือถ้าคนไหนเรียนสูงขึ้นมาอีกหน่อยก็จะออกไปเรียนต่อ ยังโรงเรียนในตัวอำเภอเมืองร้องกวาง จังหวัดแพร่ และ ยังมีศูนย์การเรียน(ศศช.)จำนวน 2 ศูนย์การเรียน คือศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยฮ่อมล่าง และศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยฮ่อมบนจัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชน 1) จัดการเรียนการสอนหลักสูตรการรู้หนังสือไทย พุทธศักราช 2557 2) จัดการเรียนการสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จัดการศึกษาต่อเนื่อง 1)จัดการศึกษาอาชีพ รูปแบบกลุ่มสนใจ และหลักสูตรอาชีพระยะสั้น 2)จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต 3) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน 4) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5) จัดและส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัย

ลักษณะบ้านเรือน

การตั้งถิ่นฐานของมลาบรี ปกติจะอพยพตามลักษณะภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ โดยจะอาศัยอยู่ในแต่ละพื้นที่ เป็นเวลา 5-10 วัน แล้วย้ายไปที่อื่นที่มีอาหารเพียงพอ รูปแบบในการอพยพในลักษณะวนกลับมาที่เดิม ในรัศมีประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร ในแต่ละปีเมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องเร่ร่อนเข้าป่าเพื่อตีผึ้ง ต้องอพยพไปทั้งหมู่บ้าน มลาบรีเป็นกลุ่มสังคมล่าสัตว์ พวกเขาจะสร้างที่พักชั่วคราว ลักษณะเพิงที่พักของชนเผ่ามละสร้างจากไม้ไผ่คล้ายกับเพิงหมาแหงน ขนาดของเพิงจะขึ้นอยู่กับจำนวน สมาชิกแต่ละครอบครัว ภายในไม่มีการยกพื้น ใช้พื้นดินเป็นพื้นเพิงและนำหญ้าฟางแห้งหรือใบตองมาปูบนพื้น เวลานอนจะไม่หนุนหมอน แต่ตะแคงหูแนบพื้น เพื่อให้สามารถได้ยินฝีเท้าคนหรือสัตว์ที่เข้ามาใกล้เพิงพักได้ พวกผู้หญิงและเด็กจะอยู่ในกระท่อมที่สร้างบนภูเขาสูง เมื่อพวกผู้ชายไปล่าสัตว์หาของป่า หรืออาหารได้เพียงพอแล้ว จึงจะกลับไปหาลูกเมียครั้งหนึ่ง

ความเป็นอยู่ ชนเผ่านี้ เดิมอยู่ในป่าที่มีภูมิประเทศลักษณะเป็นลำห้วย หรือภูเขาที่มีป่าทึบ เพื่อจะหาอาหารง่าย เพราะในป่าจะมีต้นเผือกหรือมันตามธรรมชาติ อีกอย่างชนเผ่านี้อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ ลำห้วย เพื่อไปเอาน้ำสะดวก และมีการใช้ไม้หรือกิ่งไม้ที่หาได้ง่ายมาทำเป็นเพลิงหมาแหงน มีใบตองกล้วยมุงเป็นหลังคา เมื่อยู่ถึง 4 วัน หรือ 7 วันใบตองกล้วยกลายเป็นสีเหลือง เขาก็ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นแต่ไปไม่ไกล อาจเป็นเหนือลำห้วยหรือใต้ลำห้วย แล้วแต่การหาอาหารที่จะสะดวก เมื่อเวลาชนเผ่าพบหรือเจอกัน ให้ดูสัญลักษณ์ที่ใบหู คือมีใบหูเจาะรูไว้หรือไม่ ถ้าเจาะไว้ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน จากนั้นค่อยทักทายกัน

วัฒนธรรมประเพณี

ประเพณีการแต่งงาน

ในสมัยก่อนชนเผ่า มละ ไม่มีการทำพิธีกรรมอะไรเวลาหนุ่มสาวจะแต่งงานกัน หากว่าหนุ่มชอบสาวและสาวก็ชอบด้วย ทางฝ่ายชายก็จะพาพ่อและแม่ มาพูดคุยเจราจากับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง เมื่อครอบครัวของทั้งสองฝ่ายรับรู้และ ต่างตกลงปรงใจกัน ผู้ชายก็จะพาผู้หญิงไปปลูกบ้านอยู่อีกที่หนึ่งได้เลย โดยก่อนที่ผู้ชายจะขอสาวไปอยู่กับเขานั้น พ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายก็จะมีการกล่าวอวยพรให้กับบ่าวสาวทั้งคู่ เมื่อทุกอย่างเสร็จทั้งสองก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ขณะเดียวกันเมื่อผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องเปลี่ยนชื่อตามสามี เช่น สามีชื่อ อาลี ฝ่ายหญิงชื่ออะไรก็ตามแต่จะต้องเพิ่มคำว่า ยะ เข้าไปนำหน้าชื่อและตามด้วยชื่อของสามี อย่างกรณีนี้ ฝ่ายหญิงต้องเปลี่ยนชื่อตามสามีก็จะเป็น ยะอาลี เป็นต้น “คำว่า ยะ ที่เป็นคำนำหน้าชื่อของภรรยานั้นหมายความว่า ผู้เป็นภรรยานั่นเอง” ยะอาลี ก็คือ ภรรยาของอาลี เป็นต้น และหากมีลูกด้วยกันก็จะมีการตั้งชื่อตามพ่อ เช่น พ่อชื่ออาลี่ ลูกก็จะชื่อ อีลี่ อีตี้ เป็นต้น

ขณะเดียวกันในการแต่งงานของชนเผ่า มละ ก็มีข้อห้ามอยู่เหมือนกัน เช่น ห้ามแต่งงานกับเครือญาติเดียวกันไม่ว่ากี่ยุคหรือกี่ชั่วโครต หากรู้ว่าเป็นเครือญาติกัน ก็จะไม่มีการแต่งงานกัน อีกทั้งในสมัยก่อนชนเผ่า มละ ไม่มีการส่งเสริมให้ลูกหลานของเผ่าตนไปแต่งงานกับชนเผ่าหรือเชื้อชาติอื่น เพราะกลัวเรื่องโรคใหม่ เช่น เอดส์ หรือกลัวว่าคนอื่นเขาจะรังแก หรือรังเกียจชนเผ่าของตน

ในปัจจุบันชนเผ่ามละ ก็ยังใช้การแต่งงานแบบสมัยก่อน ไม่มีการขอสินสอดทองหมั้น ไม่มีการหมั้น หรือจัดงาน ฆ่าหมูเลี้ยงแขก แต่เป็นลักษณะง่ายๆ คือ เอาญาติของทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน หากทั้งสองรักกันและพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ทั้งสองก็ถือได้ว่าเป็นสามีภรรยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป

ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรม

ในสมัยก่อนชนเผ่ามละเองก็เป็นชนเผ่าหนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าภูต ผีวิญาณ ป่าเขาหรือธรรมชาติ สัตว์ป่า เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะมีการทำพิธีเรียกขวัญหรือไปทำพิธีขอขมายังที่ที่คิดว่าเขาได้ไปล่วงเกินหรือลบหลู่โดยไม่ได้ล่วงรู้มาก่อน ผู้เฒ่าผู้แก่จะทำห่วงกลมๆ โดยใช่ไม้ไผ่หลายห่วง แล้วไปทำพิธีบริเวณนั้นๆ โดยมีการกล่าวบทสวดเล็กน้อย หรือเวลามีคนไม่สบาย เป็นหนัก ลุกไปไหนไม่ไหว ก็จะมีผู้เฒ่าผู้แก่ใช้ยาสมุนไพรรักษาให้ หรือบางทีก็ใช้คาถาเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากร่าง โดยคาถาที่ใช้ก็จะเป็นภาษาของ “ชนเผ่ามละ” เอง แต่ในปัจจุบันเรื่องการรักษาโดยการใช้ยาสมุนไพรยังพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ยังน้อย เนื่องจากเข้ารับรักษายังโรงพยาบาลของรัฐ ส่วนเรื่องการใช้คาถาอาคมในการรักษา เมื่อผู้รู้คนเก่าเสียไปก็ไม่ได้มีการสอนหรือสืบทอดต่อมายังลูกหลาน ทำให้สิ่งเหล่านี้ได้เลือนหายไป

การแต่งกาย

การแต่งกายของชนเผ่า มละ ในสมัยก่อนจะใช้เปลือกปอปกปิดร่างกายและเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย โดยมีวิธีการ คือ ไปลอกเปลือกจากต้นปอมาแล้วนำเปลือกของต้นปอ ไปทุบให้ละเอียด ตากให้แห้ง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องแต่งกายของชนเผ่า มละ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งมีการทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ชนเผ่ามละเล่าว่า ไม่มีการนำใบตองมาทำเป็น เครื่องแต่งกายอย่างที่สังคมเข้าใจในทุกวันนี้ เนื่องจากใบตองขาดง่ายและใส่ได้ไม่นาน สำหรับใบตองชนเผ่ามละจะใช้สำหรับทำเพิงพักอย่างเดียวเท่านั้น แต่มาปัจจุบันชนเผ่ามละ ก็หันไปใส่เสื้อผ้าเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีการแต่งกายแบบดั้งเดิมให้เห็น จะมีให้เห็นก็แค่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านบางคนเท่านั้น


ธรรมเนียมอย่างหนึ่งของ ผีตองเหลือง คือ ชายหญิงทุกคนต้องเจาะหูทั้งสองข้างตั้งแต่เด็ก รูหูที่เจาะมีขนาดประมาณ 0.5-1.0 เซนติเมตร โดยใช้ไม้ไผ่เหลากลมปลายแหลม แทงลงไปบนเนื้ออ่อนบริเวณติ่งหู สมัยก่อนมักจะนำดอกไม้มาเสียบไว้ในรูหูเพื่อเป็นการประดับร่างกาย แต่ในปัจจุบันเมื่อติดต่อกับชนเผ่าอื่นๆ เช่น ม้งหรือเย้า ทำให้ธรรมเนียมนี้ลดความนิยมลงไป แต่ก็ยังมีปรากฏให้เห็นบ้างประปราย

เครื่องดนตรี

สมัยก่อนชนเผ่า มละ มีเครื่องดนตรีที่ใช้กันอยู่ยามว่างอยู่บ้าง เช่น การเป่าใบไม้เป็นเพลง และมีการนำกระบอกไม้ไผ่มาทำเป็นกลอง แล้วตีเป็นจังหวะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการเป่าใบไม้หรือตีกลองนั้นจะไม่ค่อยตีดังมาก หรือจะเล่นได้ก็ต่อเมื่อมีความมั่นใจว่าบริเวณนั้นห่างไกลพอที่คนอื่นจะได้ยิน แต่ปัจจุบันเครื่องดนตรีของสมัยก่อนไม่ได้มีการสอนต่อๆ กัน อีกทั้งคนรุ่นใหม่ก็เล่นไม่เป็น จึงไม่เห็นใครเล่นแล้ว จะมีก็แต่นำเครื่องดนตรีจากชนเผ่าม้งมาใช้เล่นกัน เช่น แคนน้ำเต้า และกีต้าร์ เป็นต้น

ขอขอบคุณบริษัท เว็บสวัสดี จำกัด (มหาชน) เที่ยวทั่วไทย

ลุงบุญยืนกับมลาบรี

โดย บาราย

21 มิ.ย. 2558 05:01 น.

  • Share:

เมื่อได้อ่านเรื่องลุงบุญยืน สุขเสน่ห์ (ฝรั่ง) ผู้พลาดหวังจากเส้นทางมิชชันนารี เข้าสู่เส้นทางพัฒนาชีวิตคนป่าตองเหลือง ที่องค์บรรจุนสืบค้นมาเขียนไว้ในหนังสือสยามหลากเผ่าหลายพันธุ์ (สำนักพิมพ์มติชน 2553) มีคำถามในใจ...ลุงบุญยืน หรือคนป่าตองเหลือง... เป็นคนไทย...ด้วยหรือเปล่า

เมื่อไปถึงหมู่บ้านห้วยฮ่อม จังหวัดแพร่ ....ผู้ไปเยือนก็จะเจอฝรั่งผิวขาว 5-6 คน มีทั้งผู้สูงอายุ คนหนุ่มสาว และเด็กน้อยหน้าใส ทักทายด้วยภาษาไทยคำเมือง ฝรั่งกลุ่มนี้มีทีท่าเป็นที่รักและเป็นพวกเดียวกับชาวบ้าน ซึ่งพวกเขาเรียกตัวเองว่ามลาบรี

มลาบรี แปลว่า คนป่า ชาวบ้านเรียกตัวเอง เพื่อหลีกคำว่า “ผีตองเหลือง” คำที่ถือว่าดูถูกเหยียดหยาม

ในอดีต มลาบรีเร่ร่อนไปเรื่อยๆตามแหล่งอาหาร ไม่มีการเพาะปลูก ไม่มีการเลี้ยงสัตว์ ไม่มีการสะสมทรัพย์สินสิ่งของใดๆ และที่สำคัญ พวกเขาแทบจะไม่ติดต่อกับคนภายนอก มลาบรีไม่มีความรู้เกี่ยวกับผู้คน วัฒนธรรม และสังคมคนเมือง แต่พวกเขาก็ร่ำรวยศัพท์ภาษาเกี่ยวกับชีวิตในป่า ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีคำศัพท์เกี่ยวกับพืช สัตว์ การล่าสัตว์ และการขุดเผือกมัน พวกเขาเลือกเฉพาะหัวมันครึ่งค่อนหัว ไม่ขุดไปถึงราก ปล่อยให้มันเติบโตต่อไป เมื่อย้อนกลับมาเมื่อไหร่ ก็เข้าไปขุดกินได้อีก แต่ละขั้นตอนในการขุดเผือกมัน เริ่มขุด ขุดจนพบหัวเผือกหัวมัน การเอาหัวเผือกหัวมันขึ้นจากใต้ดิน ล้วนมีคำศัพท์เฉพาะทุกขั้นทุกตอน ถือเป็นความละเอียดอ่อนที่เกิดจากการสะสมความรู้ต่อเนื่อง

นักภาษาศาสตร์จัดชาวมลาบรี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลออสโตรเอเชียติก เชื้อชาติ และภาษาอยู่ในกลุ่มมอญ-เขมร องค์ บรรจุน เป็นชาวมอญ ได้ยินสำเนียงภาษามลาบรี ยอมรับว่าน้ำหนักความถี่ในการเปล่งเสียง และคำศัพท์มากมาย...ใกล้เคียงกัน ระหว่างเร่ร่อนเสาะหาแหล่งอาหารก็จะสร้างที่พักอาศัย เมื่ออาหารไม่เพียงพอก็ย้ายโดยไม่รอให้ใบตองที่มุงหลังคากลายเป็นสีเหลือง ถ้าหากแหล่งอาหารยังพอมีใบตองแห้งเหลือง พวกเขาก็จะหาใบตองใหม่มาซ่อม ตำนานเล่าว่า ชาวมลาบรี มีต้นกำเนิดอยู่บริเวณต้นไม้แม่น้ำโขง แขวงไชยะบุรี ประเทศลาวข้อมูลจากการสำรวจโดยคณะผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ ชาวมลาบรีมีหลักแหล่งในสองหมู่บ้าน คือ บ้านห้วยหยวก หมู่ที่ 6 ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน และที่บ้านห้วยฮ่อม หมู่ที่ 13 ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ สองหมู่บ้านมีประชากรราว 300 คน

ส่วนชาวมลาบรี ที่บ้านแม่วะ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ และบ้านแลง อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ยังไม่มีการสำรวจจริงจัง มีประมาณ 50 คน วิเคราะห์ในทางพันธุกรรม ชาวมลาบรีมีลักษณะเอกพันธุ์สูงมาก ไม่มีความหลากหลายของ ดีเอ็นเอ มีการสืบเชื้อสายกันเฉพาะภายในกลุ่ม ตามความเชื่อของกลุ่มห้ามแต่งงานคนกลุ่มอื่น ไม่ว่าหญิงและชาย ใครฝ่าฝืนถือว่าผิดผี และจะต้องมีอันเป็นไป มลาบรีในหมู่บ้านห้วยหยวกมีเลือดกรุ๊ปเอ...เกือบทั้งหมู่บ้าน เลือดกรุ๊ปโอมีคนเดียว การผสมพันธุ์จากพ่อแม่ที่มาจากสายโลหิตเดียวกัน ทางพันธุศาสตร์ถือว่าเป็นภาวะวิกฤติ หากสืบสายพันธุ์กันอย่างนี้ต่อไป ลักษณะด้อยทางพันธุกรรมก็จะมาเข้าคู่กันมากขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

ลุงบุญยืน ฝรั่งอาวุโส เคยมีชื่อฝรั่ง...Eujean Long ชื่อบุญยืนได้มาจากตัวเองและเพื่อนๆ ช่วยกันหาคำไทย ติดปัญหานามสกุล Long ซึ่งแปลว่ายาว หาคำถูกใจไม่ได้ จึงขอยืมนามสกุล “สุขเสน่ห์” ของเพื่อนคนไทยมาใช้ เข้ามาเมืองไทยในฐานะคณะเผยแผ่ ศาสนาคริสต์ชาวอเมริกัน ในกรุงเทพฯ 2 ปี ย้ายมาอยู่จังหวัดแพร่ ถึงวันนี้ลุงบุญยืนกับครอบครัวอยู่เมืองไทยย่างเข้าปีที่ 30 ลุงบุญยืนคลุกคลีกับชาวมลาบรีในสมัยที่ ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แม้พื้นที่ป่าจะไร้คนจับจอง แต่แหล่งอาหารก็ลดน้อยลง จึงต้องหาของป่าเล็กๆ น้อยๆมาขาย หรือรับจ้างทำไร่ เก็บผลไม้ให้ชาวม้งแลกอาหาร ซึ่งมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ได้ค่าแรงเพียงประทังไปมื้อหนึ่ง บางครั้งก็ต้องถูกนายจ้างอ้างว่าติดหนี้ ตามตัวไปทำงานหนัก...ใช้หนี้เป็นเวลานานกว่าลุงบุญยืนจะเรียนรู้ภาษา มลาบรี จนเข้าไปช่วยเหลือตั้งแต่ด้านสุขอนามัย การรักษาพยาบาล ให้ความรู้เรื่องการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ สอนให้สานเปลนั่ง ถักย่ามสะพาย ลงทุนซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิบนเขาทั้งจากชาวบ้าน แบ่งให้ชาวมลาบรีปลูกบ้านถาวร แต่ให้อิสระในการย้ายออกไปไหนได้ทุกเมื่อ

วันนี้สภาพชีวิตชาวมลาบรีดีขึ้น ปลูกบ้านมุงหลังคาสังกะสี สามารถซื้อกับข้าวจากพ่อค้าพื้นราบที่นำมาขายได้

สภาพชีวิตชาวมลาบรีที่บ้านห้วยฮ่อม จังหวัดแพร่ แตกต่างจากชาวมลาบรีที่บ้านห้วยหยวก จังหวัดน่าน ที่นั่นแม้พวกเขาจะพัฒนาชีวิตมีบ้านเป็นหลักแหล่ง สวมใส่เสื้อผ้ากันทุกคน แต่วันดีคืนดีเจ้าหน้าที่ก็มาสั่งให้พวกเขาเข้าป่า แก้ผ้าถือหอกล่าสัตว์ หลามข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ แสดงให้นักท่องเที่ยวดู แลกกับหมูผอมๆ สภาพของชาวมลาบรีที่บ้านห้วยหยวก จึงเหมือนถูกจับดองทั้งเป็น เหมือนไม้ดัดในกระถาง ที่ถูกตัดแต่งให้เข้ารูป ไม่ให้ตายแต่ห้ามโต แต่ไม่ว่าชาวมลาบรี และกลุ่มลุงบุญยืน ...จะเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไทยหรือไม่ หากใช้หลักความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง ทั้งลุงบุญยืน ทั้งชาวมลาบรีล้วนแต่เป็นคนไทยไปด้วยกันหมดแล้ว.





การอนุรักษ์ศิลปะ วัฒธรรม การทำกระเป๋ารักษ์โลก(ญอก)

สมัยก่อนมีการเข้าป่าไปหาอาหาร และได้อาหารมา แต่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับใส่พืชผัก ผลไม้ คนเฒ่าคนแก่จึงได้นำเถาวัลย์เป็นเส้นยาวมามัดหิ้วของที่ได้ เถาวัลย์ที่นำมาใช้มีความทนและแน่น มัดของได้ทน และไม่ขาดง่าย จึงนำมาฉีกเป็นเส้นมีเส้นใยที่แน่น และมัดของได้ดี จึงได้เริ่มนำเถาวัลย์กลับมาปอกเปลือกเป็นเส้น โดยตัดเป็นเส้นประมาณ 1 ศอก เพื่อความสะดวกในการทำเป็นเส้น แล้วพันเป็นเส้นต่อกัน โดยนำไม้ไผ่มาถักสานต่อกัน ความกว้างตามความต้องการในการใส่ของ กระเป๋าที่สานมีความคงทนใช้งานได้นาน เป็น 10 ปี ซึ่งปัจจุบันความเจริญเข้ามา มีการใช้ถุงพลาสติกในการใส่ของ ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การทำกระเป๋าสมัยก่อนไม่มีการแต่งเติมรูปแบบยังไม่สวยงาม ทำเฉพาะใส่ของใช้ ผู้เรียนต้องการการสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชนเผ่าไม่ให้เลือนหายไป จึงได้ประยุกต์ การทำกระเป๋าและการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติทุกขั้นตอน นอกจากความทนของกระเป๋าแล้ว และเพื่อให้เกิดความสวยงาม โดยการย้อมสีจากวัสดุธรรมชาติ โดยการย้อมสีจากธรรมชาติ ขนาดของกระเป๋า พอเหมาะสำหรับการใส่ของใช้ มีฝาปิดเพื่อไม่ให้ของหล่น เพิ่มมูลค่า และสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

การจัดการศึกษา การส่งเสริมอาชีพในปัจจุบันมีความสำคัญมาก การบริหารจัดการเทคโนโลยีสมัยใหม่ มุ่งเป้าหมายของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับศักยภาพในการทำงานให้บุคลากรไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากลภายใต้ศักยภาพ 5 ด้าน ได้แก่ ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ศักยภาพของพื้นที่ตามลักษณะภูมิอากาศ ศักยภาพของภูมิประเทศและทำเลที่ตั้งของแต่ละพื้นที่ศักยภาพของศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ และศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่

การจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทำ ของ สำนักงาน กศน.เป็นการยกระดับการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถให้ประชาชน ได้มีอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง ศศช.บ้านห้วยฮ่อมล่างจึงเล็งเห็นความสำคัญของความต้องการอาชีพ ของผู้เรียนและประชากรในพื้นที่ ที่ต้องการที่จะมีอาชีพเสริมสร้างรายได้ ในช่วงฤดูการที่ว่าจากการทำงานหลัก จึงส่งเสริมในด้านของการทำอาชีพเสริมรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่โดยการสำรวจความต้องการของประชาชน จึงได้พัฒนาและต่อยอดจากการทำโครงงานกระเป๋ารักษ์โลกของผู้เรียน และเพื่อเป็นการลดปริมาณขยะจากเศษถุงพลาสติก












ผู้เรียบเรียง/ภาพถ่าย โดยนางกัลนิกา นันตภาพ