1. เทคโนโลยีเตาเผาที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน
เทคโนโลยีเตาเผา หรือ Incineration คือ การเผาไหม้มูลฝอยกับอากาศเพื่อเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ ที่ให้ความร้อนและอุณหภูมิเพื่อทำลายมวลและปริมาตรของมูลฝอย การเผาไหม้เกิดขึ้นในเตาเผาที่ได้มีการ ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับลักษณะสมบัติของขยะ มูลฝอย คือ อัตราความชื้นสูง และมีค่าความร้อนที่แปร ผันได้ การเผาไหม้จะต้องมีการควบคุมที่ดีเพื่อจะป้องกันไม่่ให้เกิดมลพิษและการรบกวนต่อสภาพแวดล้อม เช่น ก๊าซพิษ เขม่า กลิ่น เป็นต้น ก๊าซซึ่งเกิดจากการเผาไหม้จะได้รับการกำจัดเขม่าและอนุภาคตามที่กฎหมาย ควบคุม ก่อนที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ ขี้เถ้าซึ่งเหลือจากการเผาไหม้ ซึ่งมีปริมาตรประมาณร้อยละ 10 และ น้ำหนักประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 ของขยะที่ส่งเข้าเตาเผา สามารถน้ำไปฝังกลบหรือใช้เป็นวัสดุปูพื้นสำหรับ การสร้างถนน ส่วนขี้เถ้าที่มีส่วนประกอบของโลหะ อาจถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนั้นในบางพื้นที่ที่มี ปริมาณขยะมูลฝอยอยู่มาก สามารถที่จะน้ำพลังงานความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้มาใช้ในการผลิตไอน้ำ หรือ ทำน้ำร้อน หรือผลิตกระแสไฟฟ้าได้
หัวใจของโรงเผามูลฝอยคือระบบกานเผาไหม้ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ระบบการเผาไหม้มวล (Mass Burn System) ซึ่งหมายถึง การเผาทำลายมูลฝอยในสภาพที่รับเข้ามาโดยไม่ต้องมี กระบวนการจัดการเบื้องต้นก่อน
2. ระบบที่มีการจัดการเบื้องต้น (Burning of Preheated and Homogenized Waste) หมายถึง ระบบการเผาไหม้มวลเป็นการเผาไหม้มูลฝอยที่มีองค์ประกอบที่หลากหลายโดยไม่ต้องมีการจัดการเบื้องต้นก่อน
จากการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีเตาเผามูลฝอยระบบการเผาไหม้มวลที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน พบว่า เตาเผาระบบการเผาไหม้มวลที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท หลัก ๆ คือ เตาเผาแบบตะกรับเคลื่อนที่ (Moving Grate) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันแพร่หลายและได้รับการ ทดสอบแล้ว มีสมรรถนะทางเทคนิคที่ยอมรับได้และสามารถรองรับการเผาทำลายขยะมูลฝอยที่มีองค์ประกอบ และค่าความร้อนที่หลากหลาย และเตาเผาแบบหมุน (Rotary Kiln) ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับความนิยมรองลงมา
ระบบที่มีการจัดการมูลฝอยเบื้องต้นก่อนทำการเผาต้องมีระบบเพื่อการลดขนาด การบดตัด และการ คัดแยก หรือในบางครั้งอาจมีระบบการผลิตเชื้อเพลิงจากมูลฝอย (Refuse-Derived Fuel : RDF) ซึ่งทำให้มี ความยุ่งยากในการปฏิบัติงานมากขึ้น ดังนั้นระบบดังกล่าวจึงมีการใช้งานอยู่ในวงจำกัด
ระบบที่มีการจัดการมูลฝอยเบื้องต้นก่อนทำการเผาในทางทฤษฎีอาจจัดให้เตาเผาแบบ ฟลูอิดไดซ์เบด (Fluidized Bed) จัดอยู่ในพวกเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีฟลูอิดไดซ์เบดจัดว ่าเทคโนโลยีที่ใหม่อยู่ และมีการใช้งานเพื่อการเผาทำลายขยะมูลฝอยในวงจำกัด โดยทั่วไป ใช้ในการกำจัดเศษวัสดุอุตสาหกรรมอุตสาหกรรม (มีตัวอย่างการใช้งานในประเทศญี่ปุ่น) นอกจากนี้มีเทคโนโลยีไพโรไลซิส-ก๊าซซิฟิเคชั่นอีกด้วย โดยรายละเอียดของเตาเผาแต่ละเทคโนโลยี ทั้งทางด้านเทคนิควิศวกรรม การจัดการสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการโรงแรม รายละเอียดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงานและการบำรุงรักษา จะได้กล่าวถึงต่อไป
1.1 ประเภทของเทคโนโลยีและหลักการทำงานของเทคโนโลยี
เตาเผามูลฝอยแบบการเผาไหม้มวลเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งประกอบด้วยตะกรับที่สามารถเคลื่อนที่ได้และมี การเผาไหม้บนตะกรับนี้ โดยขยะเผา ไหม้ ตะกรับจะเคลื่อนที่และลำเลียงมูลฝอยจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสุดท้าย
ก้ามปูของเครนเหนือเตา จะทำหน้าที่จับมูลฝอยเพื่อป้อนลงไปในช่องป้อนก่อนที่จะหล่นเข้าไป ในห้องเผาไหม้ของเตาเผาด้วยแรงโน้มถ่วง เมื่อมูลฝอยตกลงไปวางบนตะกรับ ความร้อนในเตาเผาจะทำให้มูล ฝอยแห้งก่อนที่จะเกิดการเผาไหม้ด้วยอุณหภูมิสูงกับอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ ขี้เถ ้า (รวมทั้งส ่วนประกอบของ มูลฝอยส่วนที่ไม่สามารถเผาไหม้ได้ ) จะหลุดออกจากตะกรับในลักษณะของเถ้าลอย ลงสู่หลุมถ่ายขี้เถ้า
ตะกรับจะทำหน้าที่เป็นเสมือนพื้นผิวด้านล่างของเตา การเคลื่อนที่ของตะกรับหากได้รับการ ออกแบบ อย่างถูกต้องจะทำให้มูลฝอยมีการขนย้ายและผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้อากาศที่ใช้ในการ เผาไหม้สามารถแทรกซึมไปถั่วถึงพื้นผิวของมูลฝอย ตะกรับอาจถูกจัดแบ่งให้เป็นที่ย่อยเฉพาะ ซึ่งทำให้สามารถ ปรับปริมาณอากาศเพื่อใช้ในการเผาไหม้ได้อย่างอิสระและทำให้สามารถเผาไหม้ได้แม้มูลฝอยที่มีค่าความร้อนต่ำ
อากาศที่ใช้ในการเผาไหม้แบ่งออกเป็นอากาศปฐมภูมิ (Primary Air) ซึ่งเป่าด้านล่างของผิวตะกรับ โดยทำหน้าที่ ช่วยให้เกิดการเผาไหม้ในภาคของแข ็งและระบายความร้อนให้กับตะกรับ อากาศทุติยภูมิ (Secondary Air) จะจ่ายเข้าบริเวณด้านบนของห้องเผาไหม้และทำหน้าที่เผาไหม้ก ๊าซที่ระเหยขึ้นมาจากมูล ฝอยที่วางบนตะกรับเพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
ตะกรับที่ใช้กับระบบเตาเผามูลฝอยมีหลายแบบเช่นกัน เคลื่อนไปด้านหน้า (Forward Movement), เคลื่อนไปด้านหลัง (Backward Movement), เคลื่อนที่แยกตัว (Double Movement Rocking) และ ลูกกลิ้ง (Roller) เป็นต้น
ผนังของห้องเผาไหม้ในเตาเผามูลฝอยมักเป็นแบบบุด้วยอิฐทนไฟ (Refractory Wall) หรือแบบผนังน้ำ (Water Wall) สำหรับแบบหลังนี้ส ่วนมากจะปฏิบัติงานโดยใช้อากาศส่วนเกินในปริมาณต่ำ ซึ่งช่วยให้ลด ปริมาตรของห้องเผาไหม้และลดขนาดของอุปกรณ์ควบคุมมลพิษอากาศ
เตาเผาแบบหมุน (Rotary Kiln)
ระบบเตาเผาแบบหมุนเป็นการเผาไหม้ มวลของมูลฝอยโดยใช้ห ้องเผาไหม้ทรงกระบอกซึ่งสามารถ หมุนได้รอบแกน มูลฝอยจะเคลื่อนตัวไปตามผนังของเตาเผาทรงกระบอกตามการหมุน ของเตาเผาซึ่งทำมุมเอียงกับแนวระดับ
เตาเผาแบบหมุนส่วนใหญ่จะเป็นแบบผนังอิฐทนไฟ แต่ก็มีบ้างที่เป็นผนังถ้ำทรงกระบอกอาจมีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1 ถึง 5 เมตร และยาวตั้งแต่ 8 ถึง 20 เมตร ความสามารถในการเผาทำลายมูลฝอย มีตั้งแต่ 2.4 ตันต่อวัน (0.1 ตันต่อชั่วโมง) จนถึงประมาณ 480 ตันต่อชั่วโมง (20 ตันต่อชั่วโมง)
อัตราส่วนอากาศส่วนเกินที่จะใช้มีปริมาณที่มากกว่าแบบที่ใช้กับเตาเผาแบบตะกรับและอาจจะมากกว่าที่ใช้กับเตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบดด้วย สิ่งที่ตามมาก ็คือ เตาเผาแบบหมุนมีประสิทธิภาพพลังงานที่ ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีค่ามากกว่าร้อยละ 80
เนื่องจากว่าเวลาที่ใช้ในการเผาไหม้ (Retention Time) ของก ๊าซไอเสียค่อนข้างสั้นเกินไปสำหรับการทำปฏิกิริยาการเผาไหม้ในเตาเผาแบบหมุน ดังนั้น เตาทรงกระบอกจึงมักมีส่วนต่อที่ทำเป็นห้องเผาไหม้หลัง (After-Burning Chamber) และหมักรวมอยู่ในส่วนของหม้อน้ำด้วย
เตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบด (Fluidized Bed)
เตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบด ทำงานโดยอาศัยหลักการที่อนุภาคของแข ็งที่รวมตัวเป็น Bed ในเตาเผา ผสมเข ้ากับมูลฝอยที่ทำหน้าที่เป็น เชื้อเพลิงสำหรับการเผาไหม้ถูกทำให้ลอยตัวขึ้น อันเนื่องมาจากอากาศที่เป่า เข้าด้านข ้างทำให้มันมีพฤติกรรมเหมือนกับการไหล เตาเผาโดยทั่วไปจะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกตั้ง และวัสดุที่ทำผนังห้องเผาไหม้ มักทำมาจากทรายซิลิกา หินปูน หรือวัสดุเซรามิกส์
การใช้งานเตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบดอยู่ในขั้นเริ่มต้นเนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีเตาเผาอยู่อย่าง สม่ำเสมอ โดยเตาเผามีข ้อได้เปรียบที่สามารถลดปริมาณสารอันตรายได้ในผนังห้องเผาไหม้ และมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูง สามารถใช้ได้กับเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท
ข้อเสียเปรียบหลักของเตาเผาแบบนี้อยู่ที่ต้องการกระบวนการในการจัดการมูลฝอยเบื้องต้นก่อนที่จะสามารถป้อนข้อมูลเข้าสู่เตาเผาได้ เพื่อให้มูลฝอยมีขนาด ค่าความร้อน ปริมาณขี้เถ้าที่อยู่ข้างในและอื่น ๆ เพื่อให้ตรงต่อข้อกำหนดในการปฏิบัติงานของเตาเผา และเนื่องจากมูลฝอย มีลักษณะสมบัติที่หลากหลาย จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการทำให้ได้เชื้อเพลิงที่ตรงตามความต้องการ
เตาเผาแบบไพโรไลซิส - ก๊าซซิฟิเคชัน (Pyrolysis and Gasification)
กระบวนการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากมูลฝอยชุมชน (MSW Gasification) เป็นกระบวนการทำให้มูลฝอยเป็นก๊าซโดยการทำ ปฏิกิริยาสันดาปแบบไม ่สมบูรณ์ (Partial Combustion) กล่าวคือ สารอินทรีย์ในมูล ฝอยจะทำปฏิกิริยากับอากาศหรือออกซิเจนปริมาณจำกัด ทำให้เกิดก ๊าซ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ได้แก่ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนและมีเทน เรียกว่า Producer gas ในกรณีที่ใช้อากาศเป็นก๊าซทำปฏิกิริยาก ๊าซ เชื้อเพลิงที่ได้จะมีค่าความร้อนต่ำประมาณ 3 - 5 เมกะจูลต่อลูกบาศก์เมตร แต่ถ ้าใช้ออกซิเจนเป็นก๊าซทำปฏิกิริยาก ๊าซเชื้อเพลิง ที่ได้จะมีค่าความร้อนสูงกว่าคือ ประมาณ 15 - 20 เมกะจูลต่อลูกบาศก์เมตร กระบวนการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากเชื้อเพลิงแข็งประกอบไปด้วยกระบวนการสลายตัว (Decomposition) และกระบวนการกลั่นสลาย (Devolatilization) ของโมเลกุลสารอินทรีย์ ในมูลฝอยชุมชน ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 1,200 - 1,400 องศาเซลเซียส ในบรรยากาศที่ควบคุมปริมาณออกซิเจ น เพื่อผลิตสาระเหย และถ่านชาร์ (Char) ในขั้นตอนของกระบวนการกลั่นสลายที่เรียกว่าไพโรไลซิส (Pyrolysis) มูลฝอยจะสลายตัวด้วย ความร้อนเกิดเป็นสาระเหย เช ่น มีเทน และส่วนที่เหลือยังคงสภาพของแข ็งอยู่เรียกว่า ถ่านชาร์ สารระเหยจะทำปฏิกิริยาต่อกับอากาศ ออกซิเจน หรือไอน้ำ ได้เป็นก๊าซเชื้อเพลิง
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในกระบวนการแปรสภาพเป็นแก๊ส (Gasification Process) จะเป็นตัวกำหนดองค ์ประกอบของก ๊าซเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจัยหลักที่กำหนดเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว คือ อุณหภูมิ ภายในเครื่องปฏิกรณ์ เช ่น ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป จะทำให้โมเลกุลขนาดกลางไม่เกิดสันดาป และจะหลุดออกไปเกิดการควบแน่น เป็นน้ำมันทาร์
เครื่องปฏิกรณ์ผลิตก๊าซเชื้อเพลิง (Gasifier) สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่
1. ระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขึ้น (Updraft Gasifier)
2. ระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลลง (Downdraft Gasifier)
3. ระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขวาง (Cross-Current Gasifier)
4. ระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบป้อนเชื้อเพลิงต่อเนื่อง (Fluid Bed Gasifier)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) เครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขึ้น (Updraft Gasifier)
เครื่องปฏิกรณ์แบบนี้เป็นแบบที่ใช้เริ่มแรกและเป็นแบบที่ง่ายที่สุด เชื้อเพลิงจะถูกป้อนเข้าทางส่วนบนของเครื่องและอากาศจะถูกส่งผ่านตะแกรงเข้ามาทางด้านล่าง บริเวณเหนือตะแกรงขึ้นไปมีการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงขึ้น ซึ่งเรียกบริเวณนี้ว่า ส่วนเผาไหม้(Combustion Zone) เมื่ออากาศผ่านเข้าไปบริเวณส่วนเผาไหม้(Combustion Zone) จะ เกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ก๊าซร้อนที่ผ่านมาส่วนเผาไหม้(Combustion Zone) จะมีอุณหภูมิสูงและจะถูกส่งผ่านไปยังส่วนปฏิกิริยาเกิดก๊าซ (Reduction Zone) ซึ่งเป็นโซนที่มีปริมาณคาร์บอนมากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดปฏิกิริยากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ เกิดเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรเจน หลังจากนั้นก๊าซที่จะไหลเข้าสู่บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าในชั้นของเชื้อเพลิง และกลั่นสลายในช่วงอุณหภูมิ200 - 500 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นก๊าซก็จะไหลเข้าสู่ชั้นของเชื้อเพลิงที่ชื้น เนื่องจากก๊าซยังคงมีอุณหภูมิสูงอยู่ จึงไประเหยน้ำที่อยู่ในเชื้อเพลิงเหล่านั้น ทำให้ก๊าซที่ออกจากเครื่องปฏิกรณ์มี
อุณหภูมิต่ำลง สารระเหยและน้ำมันทาร์
ที่เกิดขึ้นในช่วงการกลั่นสลายจะติดออกไปกับก๊าซเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้น ดังนั้นก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จากเครื่องปฏิกรณ์แบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขึ้น (Updraft Gasifier) จะมีปริมาณของน้ำมันทาร์มาก บางครั้งอาจมีมากถึงร้อยละ 20 ของน้ำมันทาร์ที่ได้จากการไพโรไลซิส
2) เครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลลง (Downdraft gasifier)
เครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงนี้ ออกแบบมาเพื่อขจัดน้ำมันทาร์ในก๊าซเชื้อเพลิง โดยเฉพาะ อากาศจะถูกดูดผ่านจากด้านล่าง ผ่านกลุ่มของหัวฉีดซึ่ง เรียกว่าTuyers บริเวณหัวฉีดจะเป็นบริเวณของโซนส่วนเผาไหม้ (Combustion) ก๊าซที่ได้จากโซนส่วนเผาไหม้ (Combustion) จะถูกลดขนาดลงในขณะที่ไหลงลงสู่ด้านล่างและผ่านชั้นของ คาร์บอนที่ร้อนซึ่งอยู่เหนือตะแกรงเล็กน้อยขณะเดียวกันในชั้นของเชื้อเพลิงที่อยู่ทางด้านบนของโซนส่วนการเผาไหม้ จะมีปริมาณออกซิเจนน้อยมากทำให้เกิดการกลั่นสลายและน้ำมันทาร์ที่เกิดจากการกลั่นสลาย จะไหลผ่านชั้นของคาร์บอนที่ร้อน ทำให้น้ำมันทาร์เกิดการแตกตัวเป็นก๊าซ ซึ่งการแตกตัวนี้จะเกิดที่อุณหภูมิ คงที่ในช่วงระหว่าง 800–1,000 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ปฏิกิริยาดูดความร้อนจะทำให้ก๊าซที่ได้มี อุณหภูมิต่ำลง แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่าช่วงอุณหภูมิดังกล่าว ปฏิกิริยาคายความร้อนจะ ทำให้ก๊าซที่ได้มีอุณหภูมิสูงขึ้น ก๊าซที่ผ่านโซนส่วนเผาไหม้ (Combustion) จะมีส่วนประกอบของน้ำมันทาร์ลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10 ของน้ำมันทาร์ที่ได้จากระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขึ้น (Updraft gasifier) และก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จะสะอาดกว่าการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงโดยเครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลลง (Downdraft gasifier) นี้ง่าย และมีความน่าเชื่อถือสำหรับเชื้อเพลิงที่มีแห่ง(มีความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 30) เนื่องจากว่าก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้มีปริมาณน้ำมันทาร์ต่ำ ดังนั้นเครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลลง (Downdraft gasifier) จึงเหมาะกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน500 กิโลกรัมต่อชั่วโมง(kgh-1 ) หรือ 500 กิโลวัตต์
3) เครื่องปฏิกรณ์แก๊สซิฟายเออร์แบบไหลขวาง (cross draft gasifier)
เครื่องปฏิกรณ์แก๊สซิฟายเออร์แบบไหลขวางนี้มีหลักการทำงานคือให้อากาศเข้าทางด้านข้างของเตาและก๊าซออกทางตรงข้าม อากาศจะถูกดูดผ่านหัวฉีดอยู่ในแนวราบเขตเผาไหม้จะอยู่ถัดจากหัวฉีดออกไป และต่อจากนั้นจะเข้าเขตรีดักชั่น ความร้อนจะไหลออกสู่ภายนอก โดยผ่านตะแกรงซึ่งอยู่รอบๆเขตการเผาไหม้และเขตรีดักชั่นจะเป็นบริเวณเขตกลั่นสลายน้ำมันดิน (ทาร์)ที่จะเกิดจากเขตกลั่นสลายนี้จะฝุ่นเขตรีดักชั่นก่อน ทำให้น้ำมันดินเกิดแตกสลายก่อนออกสู่ภายนอก
4) เครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบป้อนเชื้อเพลิงต่อเนื่อง(Fluid Bed Gasifier)
การทำงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่กล่าวมาข ้างต้นเป็น การทำงานของกระบวนการในระบบซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ปฏิกิริยาเคมีและสภาพทางฟิสิกส์ของเชื้อเพลิง โดยจะเกิดปัญหาของขยะหลอมเหลว ที่เกิดขึ้นมากเกินไป จึ่งก ่อให้เกิด การอุดตันในเครื่องปฏิกรณ์บ่อยครั้ง เพื่อแก ้ปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์แบบ ระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบป้อนเชื้อเพลิงต่อเนื่องขึ้น เครื่องปฏิกรณ์แบบนี้ อากาศจะไหลผ่านชั้นของเชื้อเพลิง เมื่อเราเพิ่มความเร็วของอากาศที่ไหล ผ่านสูงจนกระทั่งทำให้เชื้อเพลิงที่วางอยู่เริ่มลอยตัวขึ้นมีลักษณะคล้ายของไหล ภายในเครื่องปฏิกรณ์ จะใส่วัสดุเฉื่อย (Inert Material) ซึ่งอาจเป็นทราย อลูมิน่า หรือออกไซด์ ของโลหะที่ทนความร้อนสูงและไม่เกิดการหลอม
รวมตัว โดยมีแผ่นที่เจาะรูมารองรับตัวกลางเหล่านี้ที่ตอนล่างของเครื่องปฏิกรณ์ แผ่นที่เจาะรูนี้จะช่วยทำให้เกิดการกระจายตัวแบบฟลูอิดไดเซชันอย่างทั่วถึงของผนังห้องเผาไหม้ โดยการผ่านอากาศหรือออกซิเจนเข้าสู่ตอนล่างของแผ่นรองรับ ซึ่งความเร็วของอากาศหรือออกซิเจนที่ผ่านเข้าไปต้องมีค่าที่เหมาะ สม ทำให้ตัวกลาง มีสภาพแขวนลอย (Suspension) โดยปกติเชื้อเพลิงจะถูกเปลี่ยนให้เป็นก๊าซเชื้อเพลิงภายในผนังห้องเผาไหม้ อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยา Gasification อาจเกิดขึ้นที่ส่วนที่เป็นที่ว่างเหนือผนังห้องเผาไหม้ โดยเป็นปฏิกิริยาของอนุภาคเชื้อเพลิงเล็ก ๆ ที่ปลิวหลุดออกมาจากผนังห้องเผาไหม้ หรือเป็นปฏิกิริยาการสลายตัวด้วยความร้อนของน้ำมันทาร์ ก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้ จากเครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบป้อนเชื้อเพลิงต่อเนื่องจะมีปริมาณน้ำมันทาร์อยู่ระหว่างก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จากเครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลขึ้นและแบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบไหลลง
เครื่องปฏิกรณ์แบบระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงแบบป้อนเชื้อเพลิงต่อเนื่อง มี ข ้อดี คือมีการผสมที่ปั่นป่วนมาก ทำให้อัตราการถ่ายเทความร้อนและการถ ่ายเทมวลมีค ่าสูง มีการผสมที่ดีของวัสดุก่อนนำมาป้อนเข้าเตา ทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงและสามารถควบคุมอุณหภูมิในเครื่องปฏิกรณ์ได้ค่อนข้างง่าย ข้อเสีย ของเครื่องปฏิกรณ์แบบนี้คือก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จะมีปริมาณเถ ้าและฝุ่นถ่านชาร์ออกมาด้วย เนื่องจากความเร็วของอากาศภายในเครื่องปฏิกรณ์ มีค่าสูง จึงต้องนำระบบหมุนวนอากาศมาใช้กับระบบด้วย
1.2 การนำพลังงานที่ได้ไปใช้
ประโยชน์หลักที่ได้รับจากการเผาไหม้มูลฝอยในเตาเผา ได้แก่ การน้ำเอาพลังงานที่มีอยู่ในมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ โดยการเผาทำลายขยะมูลฝอยในเตาเผาสามารถลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซมี แทนจากหลุมฝังกลบและสามารถใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสสิลได้ นอกจากนี้ยังเป็นการลดการปลดปล่อยก๊าซ เรือนกระจกโดยรวมด้วย
ก๊าซร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ในเตาเผาจะมีพลังงานที่เกิดจากการเผาไหม้อยู่ในตัวด้วยมันจะถูกทำให้เย็นตัวลงในหม้อน้ำก่อนที่ไหลเข้าสู่อุปกรณ์ควบคุมมลพิษอากาศ ชนิดของหม้อน้ำที่ติดตั้งขึ้นอยู่กับว่า ต้องการพลังงานในรูปของน้ำร้อนเพื่อใช้กับระบบน้ำร้อน หรือไอน้ำเพื่อใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมหรือเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า
การน้ำพลังงานขั้นสุดท้ายไปใช้งานก็ขึ้นอยู่ตลาดพลังงาน ณ โรงเผามูลฝอยด้วยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้
- โครงข่ายระบบพลังงาน เช่น มีโครงข่ายสายไฟฟ้า หรือมีโครงข่ายระบบน้ำร้อนหรือไอน้ำ
- รูปแบบการใช้พลังงานตลอดทั้งปี ต้องระลึกว่า โรงงานเตาเผาขยะมูลฝอยชุมชนมักมีการผลิต พลังงานที่ค่อนข้างจะไม่คงที่
- ราคาของแหล่งพลังงานอื่น ๆ และข้อตกลงการซื้อพลังงานกับผู้ใช้พลังงาน