ทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับการรีไซเคิล เพราะการรีไซเคิลเป็นหัวใจสำคัญของ วัฎจักรให้ดำเนินต่อไป เป็นการเปลี่ยนสภาพของวัสดุที่ใช้แล้วให้มีมูลค่า จากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แปรเปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุดิบ สิ่งของนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการประหยัดพลังงาน ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดวัสดุที่ใช้แล้ว ปกป้องการทำลายผืนป่า ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อมต่างๆที่อยู่แวดล้อมตัวเรา ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่เราจะสามารถทำได้
ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับการจัดการวัสดุด้วยการรีไซเคิลของวัสดุประเภทต่าง ๆ ว่ามีวิธีการจัดการอย่างไรจึงจะมีความปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด
1. การจัดการวัสดุประเภทโลหะ
โลหะหลากหลายชนิดสามารถนำมารีไซเคิลได้โดยการนำมาหลอมและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สามารถแบ่งโลหะออกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
- โลหะประเภทเหล็ก ใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรมก่อสร้างผลิตอุปกรณ์ ต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องใช้ในบ้านอุตสาหกรรมการนำเหล็กมาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนในการผลิตมีมานานแล้วคาดว่าทั่วโลกมีการนำเศษเหล็กมารีไซเคิลใหม่ถึงร้อยละ 50 แม้แต่ในรถยนต์ก็มีเหล็กรีไซเคิลปะปนอยู่ 1 ใน 4 ของรถแต่ละคัน เหล็กสามารถนำมารีไซเคิลได้ทุกชนิด สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. เหล็กเหนียว เช่น เฟืองรถ น๊อต ตะปู เศษเหล็กข้ออ้อย ขาเก้าอี้ ล้อจักรยาน หัวเก๋งรถ เหล็กเส้นตะแกรง ท่อไอเสีย ถังสี
2. เหล็กหล่อ เช่น ปลอกสูบปั๊มน้ำ ข้อต่อวาล์ว เฟืองขนาดเล็ก
3. เหล็กรูปพรรณ เช่น แป๊ปประปา เพลาท้ายรถเพลาโรงสี แป๊ปกลมดำ เหล็กฉากเหล็กตัวซี และเพลา เครื่องจักรต่างๆ
4. เศษเหล็กอื่น ๆ เช่น เหล็กสังกะสี กระป๋อง ปิ๊บเหล็ก กลึงเหล็กแมงกานีส ซึ่งราคาซื้อขายจะต่างกันตามประเภทของเหล็ก ซึ่งพ่อค้ารับซื้อของเก่าจะทำการตัดเหล็กตามขนาด ต่าง ๆ ตามที่ทางโรงงานกำหนดเพื่อสะดวกในการเข้าเตาหลอมและการขนส่ง
- โลหะประเภทอะลูมิเนียม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
(1) อะลูมิเนียมหนา เช่น อะไหล่เครื่องยนต์ ลูกสูบ อะลูมิเนียมอัลลอย ฯลฯ
(2) อะลูมิเนียมบาง เช่น หม้อ กะละมังซักผ้า ขันน้ำ กระป๋องเครื่องดื่ม ฯลฯ ราคาซื้อขายโลหะประเภทอะลูมิเนียมมีราคาตั้งแต่ 10 บาท ถึง 45 บาท แล้วแต่ประเภท อะลูมิเนียมหนาจะมีราคาแพงกว่าอะลูมิเนียมบาง แต่ขยะอะลูมิเนียมที่พบมากในกองขยะส่วนใหญ่จะเป็นพวกกระป๋องเครื่องดื่ม เช่น กระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเบียร์ โดยเฉพาะกระป๋องน้ำอัดลมจะเป็นขยะที่มีปริมาตรมาก ดังนั้น ก่อนนำไปขายควรจะอัดกระป๋องให้มีปริมาตร เล็กลงเพื่อที่จะได้ประหยัดพื้นที่ในการขนส่ง สำหรับการรีไซเคิลกระป๋องอะลูมิเนียมนั้นพ่อค้ารับซื้อของเก่าจะทำการอัดกระป๋องอะลูมิเนียมให้มีขนาดตามที่ ทางโรงงานกำหนดมา กระป๋องอะลูมิเนียมสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้หลาย ๆ ครั้ง ไม่มีการกำจัดจำนวนครั้งของการผลิต เมื่อกระป๋องอะลูมิเนียมถูกส่งเข้าโรงงานแล้วจะถูกบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วหลอมให้เป็นแท่งแข็ง จากนั้นนำไปรีดให้เป็นแผ่นบางเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตกระป๋องเพื่อผลิตกระป่องใหม่
วัสดุใช้แล้วจำพวกกระป๋องผลิตจากวัสดุต่างกัน เช่น กระป๋องอะลูมิเนียม กระป๋องเหล็กเคลือบดีบุก กระป๋องที่มีส่วนผสมทั้งโลหะและอะลูมิเนียม แต่ไม่ว่าจะผลิตจากอะไรก็สามารถนำมารีไซเคิลได้ ซึ่งสามารถสังเกตดูตะเข็บด้านข้างกระป๋อง กระป๋องอะลูมิเนียมจะไม่มีตะเข็บด้านข้าง เช่น กระป๋องน้ำอัดลม ส่วนกระป๋องเหล็กที่เคลือบดีบุกจะมีตะเข็บด้านข้าง เช่น กระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูป กระป๋องกาแฟ ปลากระป๋อง หากไม่แน่ใจลองใช้แม่เหล็กมาทดสอบ หากแม่เหล็กดูดติด บรรจุภัณฑ์ชนิดนั้น คือ เหล็ก โลหะ หากแม่เหล็กดูดไม่ติด บรรจุภัณฑ์นั้นอะลูมิเนียม
ข้อปฏิบัติในการรวบรวมวัสดุที่ใช้แล้วประเภทอะลูมิเนียม
1) แยกประเภทกระป๋องอะลูมิเนียม โลหะ เพราะกระป๋องบางชนิดมีส่วนผสมทั้งอะลูมิเนียมและโลหะ ส่วนฝาปิดส่วนใหญ่เป็นอะลูมิเนียม ให้ดึงแยกเก็บต่างหาก
2) หลังจากที่บริโภคเครื่องดื่มแล้ว ให้เทของเหลวออกให้หมด ล้างกระป๋องด้วยน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่น เพื่อป้องกันแมลง สัตว์ มากินอาหารในบรรจุภัณฑ์
3) ไม่ควรทิ้งเศษวัสดุหรือก้นบุหรี่ลงในขวด และต้องทำความสะอาดก่อนนำขวดไปเก็บรวบรวม
4) ควรเหยียบกระป๋องให้แบน เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ
- โลหะประเภททองเหลือง ทองแดง และ สแตนเลส โลหะประเภทนี้ มีราคาสูงประมาณ 30 - 60 บาท โดยทองเหลืองสามารถนำมากลับมาหลอมใหม่ โดยนำมาสร้างพระ ระฆัง อุปกรณ์สุขภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนทองแดงก็นำกลับมาหลอมทำสายไฟได้ใหม่
สัญลักษณ์รีไซเคิลกระป๋องโลหะและอะลูมิเนียม กระป๋องส่วนใหญ่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เช่น กระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเครื่องดื่ม เพราะเป็นโลหะชนิดหนึ่ง แต่กระป๋องบางชนิดจะมีส่วนผสมของวัสดุทั้งอะลูมิเนียม แต่โลหะชนิดอื่น ๆ ก็ต้องดูตามสัญลักษณ์ ดังต่อไปนี้
2. การรีไซเคิลพอลิเมอร์
พอลิเมอร์ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งและมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากพอลิเมอร์มีราคาถูก น้ำหนักเบาและมีขอบข่ายการใช้งานได้กว้าง
ปัจจุบันพอลิเมอร์ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างหนึ่ง และมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น โดยการนำมาใช้แทนทรัพยากรธรรมชาติได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก เนื่องจากพอลิเมอร์มีราคาถูก มีน้ำหนักเบา และมีขอบข่ายการใช้งานได้กว้าง เนื่องจากเราสามารถผลิตพอลิเมอร์ให้มีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้โดยขึ้นกับการเลือกใช้วัตถุดิบปฏิกิริยาเคมี กระบวนการผลิต และกระบวนการขึ้นรูปทรงต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย และยังสามารถปรุงแต่งคุณสมบัติได้ง่าย โดยการเติมสารเติมแต่ง (additives) เช่น สารเสริมสภาพพอลิเมอร์ (plasticizer) สารปรับปรุงคุณภาพ (modifier) สารเสริม (filler) สารคงสภาพ (stabilizer) สารยับยั้งปฏิกิริยา (inhibitor) สารหล่อลื่น (lubricant) และผงสี (pigment) เป็นต้น
พอลิเมอร์ หมายถึง วัสดุที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นจากธาตุพื้นฐาน 2 ชนิด คือ คาร์บอนและโฮโดรเจนซึ่งเมื่อเติมสารบางอย่างลงไปจะทำให้พอลิเมอร์มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น แข็งแกร่ง ทนความร้อน ลื่นและยืดหยุ่น เราอาจสังเคราะห์พอลิเมอร์ชนิดต่าง ๆ ได้มากมาย โดยการเติมสารเคมีชนิดต่าง ๆ เข้าไปโดยใช้สัดส่วนและกรรมวิธีที่แตกต่างกัน
พอลิเมอร์ ประกอบด้วยโมเลกุลขนาดใหญ่เรียกว่า พอลิเมอร์ (polymer) ซึ่งเกิดจากโมเลกุลขนาดเล็กที่มาต่อเข้าด้วยกันเป็นสายยาวเหมือนโซ่ สายโมเลกุลเหล่านี้จะเกี่ยวพันกัน ทำให้พอลิเมอร์แข็งแกร่ง แต่กว่าจะดึงสายโมเลกุลพอลิเมอร์ให้แยกจากกันได้ ต้องใช้แรงมากพอสมควร กระบวนการที่ทำให้โมเลกุลขนาดเล็กมาต่อรวมกันเข้าจนมีขนาดใหญ่ขึ้นนั้น เรียกว่า การเกิดพอลิเมอร์ (polymerization) ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดของพอลิเมอร์ (catalyst) กระตุ้นให้โมเลกุลขนาดเล็ก มายึดต่อเข้าด้วยกัน พอลิเมอร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เทอร์โมเซตติ้ง (thermosetting) และเทอร์โมพอลิเมอร์ (thermoplastic)
เทอร์โมเซตติ้ง (Thermosetting) พอลิเมอร์ประเภทนี้จะมีรูปทรงที่ถาวรเมื่อผ่านกรรมวิธีการผลิตโดยให้ความร้อน ความดันหรือตัวเร่งปฏิกิริยา การขึ้นรูปทำได้ยากและไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนการผลิตสูงรวมทั้งการใช้งานค่อนข้างจำกัด ทำให้ในปัจจุบันมีใช้ในอุตสาหกรรมไม่กี่ประเภท ได้แก่ เมลามีน ฟีนอลิก ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ โพลีเอสเตอร์ที่ไม่อิ่มตัว เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะใช้ผลิตเครื่องครัว ชิ้นส่วนปลั๊กไฟ ชิ้นส่วนรถยนต์ และชิ้นส่วนในเครื่องบิน เป็นต้น
เทอร์โมพอลิเมอร์ (Thermoplastic) พอลิเมอร์ประเภทนี้เมื่อได้รับความร้อนหรือความดันระหว่างกระบวนการขึ้นรูป จะเปลี่ยนแปลงสถานะทางกายภาพ กล่าวคือเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนนิ่มเละเมื่อเย็นลง จะแข็งตัวโดยที่โครงสร้างทางเคมีจะไม่เปลี่ยนแปลงทำให้พอลิเมอร์ประเภทนี้มีคุณสมบัติที่สามารถนำกลับมา เข้าสู่กระบวนการผลิตซ้ำ ๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาขึ้นรูปได้ง่ายด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมประเภทของเด็กเล่น ดอกไม้ประดิษฐ์ บรรจุภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ พอลิเมอร์ประเภทนี้ ได้แก่โพลีเอทิลีน (PE), โพลีโพรพิลีน (PP), โพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC), โพลิสไตรีน (PS), โพลิเอทิลีนเทเรพทาเลต (PET) เป็นต้น
ในประเทศไทยนิยมใช้พอลิเมอร์จำพวกเทอร์โมพอลิเมอร์กันมากที่สุดเนื่องจากสามารถใช้งานได้หลายประเภท โดยเฉพาะด้านบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ที่มีการผลิตในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น โพลิเอทิลีน (PE) ผลิตเป็นถุงพอลิเมอร์ทั้งร้อนและเย็น ขวด, ถัง และฟิล์ม พอลิเมอร์ประเภทอ่อนนุ่ม กระสอบพอลิเมอร์ เป็นต้น โพลิโพรพิลีน (PP) นิยมผลิตเป็นถุงบรรจุอาหาร และเสื้อผ้าสำเร็จรูป กระสอบพอลิเมอร์ เป็นต้น โพลิไวนิลคลอโรด์ (PVC) และโพลิสไตรีน (PS) นิยมผลิตเป็นถัง ถุงบรรจุผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์บางชนิดเป็นต้น
จากการเพิ่มจำนวนบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ปัจจุบันซึ่งมีแนวโน้มความต้องการจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตนั้น ก่อให้เกิดปัญหาขยะพอลิเมอร์ที่ใช้แล้ว ตามมา ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการกำจัดขยะพอลิเมอร์ในปัจจุบันยังมีอุปสรรคอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถกำจัดพอลิเมอร์บางชนิดได้ เนื่องจากยังไม่สามารถหลอมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก จึงได้มีนักวิจัยค้นคว้าที่จะนำบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ หรือที่เรียกว่า Recycle โดยนำพอลิเมอร์ ที่ใช้แล้วตามบ้านเรือนหรือตามกองขยะมาป้อนเข้าสู่โรงงานแปรรูปพอลิเมอร์ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือการทำลายพอลิเมอร์ในระยะสั้น ซึ่งนอกจากเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม การนำพอลิเมอร์กลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่นั้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่การแยกประเภทของพอลิเมอร์ก่อนที่จะนำไปรีไซเคิล และการกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป โดยปกติแล้วพอลิเมอร์ผสมเกือบทุกประเภทจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เนื่องจากพอลิเมอร์ที่แม้จะมีโครงสร้างทางเคมีที่เหมือนกัน แต่ไม่สามารถเข้ากันได้เสมอไป (incompatible) ตัวอย่างเช่น โพลีเอสเตอร์ ที่ใช้ทำขวดพอลิเมอร์ จะเป็นโพลีเอสเตอร์ที่มีมวลโมเลกุลสูงกว่า เมื่อเทียบกับโพลีเอสเตอร์ที่ใช้ในการผลิตเส้นใย (fiber)
นอกจากนี้ ยังมีสารเติมแต่งอีกประเภท ได้แก่ พวกสารเพิ่มความเข้ากันได้ (Compatibilizer) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการรีไซเคิลของพอลิเมอร์ สารเติมแต่งนี้จะช่วยให้เกิดพันธะทางเคมีระหว่างพอลิเมอร์ 2 ประเภทที่เข้ากันไม่ได้ ดังนั้น Compatibilizer จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล ตัวอย่างเช่น การใช้ยางคลอริเนตโพลิเอทิลลีน สำหรับพอลิเมอร์ผสม PE/PVC
การระบุรหัสสำหรับพอลิเมอร์ (ID Code) และคุณสมบัติของขวดพอลิเมอร์
พอลิเมอร์ ถูกแบ่งเป็น 7 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการระบุรหัสของพอลิเมอร์ (identification code) ถึงแม้ว่าพอลิเมอร์หลายประเภทจะสามารถรีไซเคิลได้ในปัจจุบันได้นำเฉพาะพอลิเมอร์ที่ใช้ในครัวเรือนมารีไซเคิลกัน ดังนั้นขวดพอลิเมอร์แต่ละชนิดจึงมีวิธีการรีไซเคิลที่แตกต่างกันไป
สภาพพอลิเมอร์ที่ได้จากกระบวนการรีไซเคิลนั้นไม่นิยมนำมาทำผลิตภัณฑ์เพื่อบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากเนื้อพอลิเมอร์จะมีคุณสมบัติด้อยลง และเมื่อได้รับความร้อน สารเคมี และสีบางชนิดที่ใช้ผสมในระหว่างกระบวนการรีไซเคิลอาจมาปะปนกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่บรรจุซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้ ในทางปฏิบัติแล้วพบว่าปริมาณขยะที่เกิดจากพอลิเมอร์ที่ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตอีกครั้งมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ทั้งหมด
เมื่อพิจารณาจากปริมาณเศษวัสดุใช้แล้วทุกประเภท ซึ่งมีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่และที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้เนื่องจากรูปแบบการทิ้งขยะของประชาชนไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากไม่ได้มีการแยกประเภทชัดเจน ทำให้ยากลำบากต่อการ คัดแยกขยะพอลิเมอร์ออกจากกองขยะ จึงนับได้ว่าเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของการขจัดขยะพอลิเมอร์ และส่งผลให้การผลิตพอลิเมอร์ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล มีต้นทุนสูงกว่าที่ควรจะเป็น
3. การรีไซเคิลเซรามิกส์
วัสดุที่สามารถนำมา รีไซเคิลได้มีหลายชนิด อาทิ โลหะชนิดต่าง ๆ พลาสติก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าได้มีการนำวัสดุเซรามิกส์ เช่น กระเบื้องปูพื้นและผนัง ถ้วยชาม ตลอดจนเครื่องสุขภัณฑ์ต่าง ๆ มาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่น้อยมาก ยกเว้นแก้วและกระจก ทั้งที่วัสดุเหล่านี้มีปริมาณ การผลิตและการใช้งาน ตลอดจน ผลิตภัณฑ์ ที่เสียทั้งในระหว่างการผลิต และการใช้งานที่ต้องกลายเป็นขยะ ปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนมาก
การนำวัสดุเซรามิกส์ มารีไซเคิลได้นั้น จำเป็นต้องบดวัสดุเซรามิกส์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง ให้มีสภาพเป็นผงละเอียดมากเสียก่อน เนื่องจากการผลิตวัสดุเซรามิกส์ เริ่มต้นด้วยการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ ให้ได้รูปทรงตามต้องการ แล้วจึงนำไปเผาผนึกในภายหลัง ซึ่งต่างจาก การหลอมแก้วหรือโลหะ ดังนั้นหากมีเม็ดผงขนาดใหญ่เกินไป ปะปนอยู่ในเนื้อจะทำให้เกิดตำหนิในเนื้อวัสดุ และส่งผลต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ ไม่เป็นไปตามความต้องการ นอกจากนั้นแล้ว วัสดุเซรามิกส์ที่ผ่านการเผามาแล้วครั้งหนึ่ง จะมีโครงสร้างและสมบัติแตกต่าง จากวัตถุดิบตั้งต้นมาก อาทิ ความเหนียว การกระจายลอยตัวในน้ำ เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะนำวัสดุเซรามิกส์ มารีไซเคิล จึงต้องมีการศึกษาค้นคว้า และปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่อีกด้วย ทั้งหมดนี้เองทำให้การรีไซเคิล วัสดุเซรามิกส์มีต้นทุนสูงกว่า การผลิตโดยใช้วัตถุดิบดั้งเดิมมาก จึงเป็นเหตุทำให้ อุตสาหกรรมไม่นิยมนำวัสดุเซรามิกส์ มาทำการรีไซเคิลใช้ใหม่ เหมือนกับวัสดุอื่น ๆ ซึ่งมีต้นทุนในการรีไซเคิล ต่ำเมื่อเทียบกับการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
ขวดแก้วเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยคุณสมบัติที่ใส สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในไม่ทำปฏิกิริยากับสิ่งบรรจุ ทำให้คงสภาพอยู่ได้นาน สามารถออกแบบให้มีรูปทรงได้ตามความต้องการ ราคาไม่สูงจนเกินไป มีคุณสมบัติสามารถนำมารีไซเคิลได้ และให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพคงเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะรีไซเคิลกี่ครั้งก็ตาม ขวดแก้วสามารถนำมารีไซเคิลด้วยการหลอม ซึ่งใช้อุณหภูมิในการหลอม 1,600 องศาเซลเซียล จนเป็นน้ำแก้ว และนำไปขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ การนำเศษแก้วประมาณร้อยละ 10 มาเป็นส่วนผสมในการหลอมแก้ว จะช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดปริมาณน้ำเสียลงร้อยละ 50 ลดมลพิษทางอากาศลงร้อยละ 20 แก้วไม่สามารถย่อยสลายได้ในหลุมฝังกลบวัสดุที่ใช้แล้ว แต่สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่ได้หลายรอบและมีคุณสมบัติเหมือนเดิม ดังนั้นเรามารู้จักสัญลักษณ์การรีไซเคิลแก้ว และวิธีการเก็บรวมรวมแก้วเพื่อนำไปขายให้ได้ราคาสูง ในการส่งต่อไปรีไซเคิล
แก้วสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1) ขวดแก้วดี จะถูกนำมาคัดแยกชนิด สี และประเภทที่บรรจุสินค้า ได้แก่ ขวดแม่โขง ขวดน้ำปลา ขวดเบียร์ ขวดซอส ขวดโซดา ขวดเครื่องดื่มชูกำลัง ขวดยา ขวดน้ำอัดลม ฯลฯ การจัดการขวดเหล่านี้หากไม่แตกบิ่นเสียหาย จะถูกนำกลับเข้าโรงงานเพื่อนำไปล้างให้สะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ที่เรียกว่า “Reuse”
2) ขวดแก้วแตก ขวดที่แตกหักบิ่นชำรุดเสียหายจะถูกนำมาคัดแยกสี ได้แก่ ขวดแก้วใส ขวดแก้วสีชา และขวดแก้วสีเขียว จากนั้นนำเศษแก้วมาผ่านกระบวนการรีไซเคิล โดยเบื้องต้นจะเริ่มแยกเศษแก้วออกมาตามสีของ เอาฝาจุกที่ติดมากับปากขวดออกแล้วบดให้ละเอียด ใส่น้ำยากัดสีเพื่อกัดสีที่ติดมากับขวดแก้ว ล้างให้สะอาด แล้วนำส่งโรงงานผลิตขวดแก้วเพื่อนำไปหลอมใหม่ เรียกว่า “Recycle”
3.1 สัญลักษณ์รีไซเคิลแก้ว แก้วสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้หลายชนิด แต่ก็มีแก้วบางชนิดที่ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้หรือไม่ โดยการสังเกตสัญลักษณ์ของการรีไซเคิลแก้วได้ ดังนี้
ข้อควรปฏิบัติในการรวบรวมวัสดุที่ใช้แล้วประเภทแก้ว
1) นำฝาหรือจุกออกจากบรรจุภัณฑ์ เพราะไม่สามารถนำไปรีไซเคิลรวมกับแก้วได้
2) หลังการบริโภค ควรล้างขวดแก้วด้วยน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดการเน่าของอาหาร และเพื่อป้องกันแมลง สัตว์ มากินอาหารในบรรจุภัณฑ์
3) ไม่ควรทิ้งเศษวัสดุหรือก้นบุหรี่ลงในขวด และต้องทำความสะอาดก่อนนำขวดไปเก็บรวบรวม
4) เก็บรวบรวมขวดแก้วรวมไว้ในกล่องกระดาษ ป้องกันการแตกหักเสียหาย
5) ควรแยกสีของแก้ว จะช่วยให้ขายได้ราคาดี และเพื่อให้ง่ายต่อการส่งต่อนำไปรีไซเคิล
6) ขวดแก้วที่เป็นใบ ควรแยกใส่กล่องเดิม จะขายได้ราคาดี
7) ขวดแก้วบางชนิด อาจนำไปรีไซเคิลไม่ได้ หรือมีร้านรับซื้อของเก่าบางร้านที่อยู่ในพื้นที่ ไม่รับซื้อ ดังนั้นควรสอบถามร้านก่อนเก็บรวบรวมแก้วเพื่อนำไปขาย
สรุปได้ว่า ปัจจัยสำคัญในการรีไซเคิลวัสดุประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลหะ พลาสติก กระดาษ แก้ว ก็คือจะต้องแยกประเภทของขยะรีไซเคิลแต่ละชนิดออกจากกันไม่ให้ปนกัน และทำความสะอาดวัสดุก่อนที่จะนำไปขาย ถ้าเป็นกระป๋องก็ควรจะทำการอัดเพื่อลดปริมาตรของวัสดุใช้แล้วก่อนที่จำนำไปขาย