ตอนที่ 4 : การใช้เทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศกับการเผยแพร่
ตอนที่ 4 : การใช้เทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศกับการเผยแพร่
ประเด็นสำคัญสำหรับนักเรียนในการใช้หรือเผยแพร่สื่อด้วยเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศนั้น คือ การใช้วิจารณญาณ การมีความรับผิดชอบในข้อมูลที่เราจะเผยแพร่สิทธิของสื่อที่เราได้มา และความรอบคอบ โดยการตรวจสอบสื่อต่างๆ ที่ได้รับมาหรือสื่อที่เราผลิตขึ้นมาว่ามีข้อเท็จจริงและมีความถูกต้อง ความเหมาะสมหรือไม่ ไม่กระทำการสร้างข่าวลือหรือให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือแต่งเติม หากแต่งเติมก็เป็นความคิดเห็นที่ถูกหลักเหตุและผล ไม่ขัดต่อจริยธรรมอันดี ความรับผิดชอบต่อการกระทำใดๆ ของเราในที่สาธารณะถือเป็นสิ่งที่นักเรียนควรตระหนักมากที่สุด
สิทธิของสื่อในการนำข้อมูลมาใช้เผยแพร่ต่อ หรือทำซำ้ (Fair Use and Creative Commons)
การนำสื่อมาใช้ เช่น การดาวน์โหลดภาพ เพลง สื่อวิดีโอ หรือสื่อต่างๆ จากโลกออนไลน์ก็มีประเด็นด้านสิทธิเช่นเดียวกันกับลิขสิทธิ์ เพราะเจ้าของที่สร้างภาพหรือสื่อต่างๆ ขึ้นมานั้นได้ใช้ทักษะและความรู้ ความสามารถและเสียเวลาในการผลิตสื่อนั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะของทรัพย์สินทางปัญญาเช่นกัน โดยกฎหมายสากลที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาเกิดขึ้นโดยการลงนามในสนธิสัญญา ณ กรุงเบิร์น ซึ่งประเทศไทยก็ลงนามในสัญญานั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ในการนำผลงานหรือสื่อที่ดูเหมือนว่ามีลิขสิทธิ์หรือเป็นลักษณะงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้นั้น กระบวนการที่ถูกต้องจะต้องดำเนินขั้นตอนตามกฎหมาย โดยต้องทำเรื่องขออนุญาตไปยังเจ้าของผลงาน (ในบางกรณีอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่าย) หรือให้ใช้สิทธิได้บางส่วน และเมื่อเป็นลักษณะออนไลน์ด้วย ก็จะมีประเด็นด้านความไม่สะดวกเกิดขึ้นอย่างมากในการนำไปใช้งาน จึงมีวิธีการแก้ไขสำหรับเหตุการณ์เหล่านี้โดยเจ้าของผลงานนั้นสามารถประกาศเงื่อนไขการใช้งานเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยถือว่าเป็น "สัญญา" ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการที่ชื่อว่า "ครีเอทีฟคอมมอนส์" (Creative Commons) ขึ้นมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
โครงการ Creative Commons ได้มีการแก้ปัญหา ดังนี้
1. จัดชุดของเงื่อนไข เช่น ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า ห้ามดัดแปลงต่อ อื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน
2. สร้างความคุ้มครองทางกฎหมาย โดยเขียนสัญญาที่มีผลบังคับใช้จริงๆ ในทางกฎหมาย
3. มีโลโก้ CC เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน โดยมีลักษณะ 4 แบบ ดังนี้
สำหรับ Fair Use (แฟร์ยูส) นั้น คือ ความชอบธรรมทางกฎหมายในการนําผลงานลิขสิทธิ์มาใช้ในระดับที่จำกัด โดยไม่ขัดกับผลประโยชน์ที่เจ้าของผลงานพึงได้รับจากงานของเขา การใช้ข้อมูลเพื่อการศึกษาถือว่าเป็น Fair Use ได้ทั้งสิ้น
ปัจจัย 4 อย่างที่เป็นตัวกำหนด Fair Use
1. จุดมุ่งหมายและลักษณะของการใช้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ เช่น เพื่อการเรียน เพื่อวิจารณ์ เพื่อการทำวิจัย
2. ลักษณะของผลงานลิขสิทธิ์ เช่น หนังสือในห้องสมุดที่สมาชิกยืมไปอ่านได้
3. ความยาวของงานที่นำไปใช้ อาจเป็นหนังสือทั้งเล่ม หรือ 2-3 ย่อหน้าที่คัดลอกไปสอน
4. ผลกระทบที่อาจมีต่อตลาด รายได้ของผู้ผลิตผลงาน และมูลค่าของผลงาน เช่น ถ้าห้องสมุดให้ยืมหนังเรื่องหนึ่ง แล้วผู้ยืมนำไปฉายให้หลายๆคนดู อาจมีแนวโน้มที่ทำให้รายได้ของเจ้าของผลงานลดลง การนำผลงานไปเผยแพร่ในวงกว้างอาจทำให้เกินขอบเขตของ Fair Use
นักเรียนต้องศึกษาหาข้อมูลของแหล่งที่มาของภาพ หรือสื่อที่นักเรียนจะนำไปใช้งาน และต้องเคารพสิทธิของเจ้าของผลงานในการนำไปใช้งาน การเผยแพร่ แชร์ต่อ โดยดูที่การกำกับของ CC และรายละเอียดย่อย เช่น BY NC ND SA ซึ่งควรพึงปฏิบัติตามกติกามารยาทของการนำสื่อไปใช้ตามวัตถุประสงค์อย่างเหมาะสม
ตัวอย่างที่ 1 การกำกับของลิขสิทธิ์ลักษณะของ Creative Commons
บริการใน www.thingiverse.com จะมีตัวอย่างของโมเดลสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ โดยจะมีการกำกับสิทธิในการนำไปใช้ด้วย
ตัวอย่างที่ 2 การสืบค้นวิดีโอที่มี Creative Commons
ในตัวอย่างนี้จะสืบค้นหาหุ่นยนต์โดยใช้คำค้นว่า Robot Arm ดังภาพ
บริเวณที่ค้นหาจะมีเมนูตัวกรอง (FILTER) ให้กดเลือก Creative Commons วิดีโอที่สืบค้นก็จะอยู่ในหมวดของ CC ดังภาพ
เมื่อกรองข้อมูลแล้ว รายการวิดีโอที่มีคุณสมบัติให้นำไปใช้งานต่อในลักษณะของ Creative Commons จะปรากฏขึ้น ดังภาพ
ถ้าเราผลิตหรือสร้างวิดีโอและอัปโหลดขึ้นมาไว้บน YouTube เราสามารถกำหนด Creative Commons ได้ในหน้าจอของการอัปโหลด หรือเมนูแก้ไขวิดีโอนั้น ๆ ใน Tab เมนู Advanced settings
👉 การใช้ Creative Commons เป็นการประกาศสิทธิในการเผยแพร่ที่ดีและมีหลักการ นักเรียนควรสร้างสื่อต่างๆ ด้วยตนเองโดยไม่ดัดแปลงหรือคัดลอกสื่อของผู้อื่นมาใช้ ความภูมิใจในการสร้างสื่อจะเกิดขึ้น และความรู้สึกในความเป็นเจ้าของผลงานและการให้เผยแพร่ต่อของผลงานของเราจะมีมากขึ้นได้โดยการกำหนดการประกาศ Creative Commons ในสื่อที่เราผลิตขึ้น