เป็นร้อยกรองที่มีระเบียบบังคับคณะ คำเอก คำโท และสัมผัสเป็นสำคัญ
แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๑.โคลงสุภาพ ๒. โคลงดั้น ๓.โคลงโบราณ
เป็นร้อยกรองที่มีระเบียบบังคับคณะ คำเอก คำโท และสัมผัสเป็นสำคัญ
แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๑.โคลงสุภาพ ๒. โคลงดั้น ๓.โคลงโบราณ
เป็นร้อยกรองที่มีระเบียบบังคับ ครุ ลหุ หรือคำที่มีเสียงหนักเบา บังคับจำนวนคำ
และสัมผัสเป็นสำคัญ ฉันท์ที่นิยมแต่ง เช่น วิชชุมมาลาฉันท์ มาณวกฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์
สาลินีฉันท์ โตฎกฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ อีทิสังฉันท์ สัทธราฉันท์ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์
เป็นร้อยกรองที่มีระเบียบบังคับคล้ายฉันท์ จะต้องกันที่กาพย์มิได้กำหนด
ครุ ลหุเท่านั้น กวีจึงนิยมแต่งกาพย์ปนฉันท์
เป็นร้อยกรองที่บังคับคณะ สัมผัส และเสียงวรรณยุกต์แบ่งออกเป็น
หลายประเภท และมีชื่อเรียกต่างกันออกไป
เป็นร้อยกรองที่บังคับคณะ สัมผัส ร่ายบางประเภทบังคับคำเอก
คำโทด้วย ร่ายแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ
นอกจากนี้ร้อยกรองยังแบ่งเป็นชนิดย่อยๆ ดังนี้
1. วรรณกรรมประเภทบรรยาย (Narrative)
คือ วรรณกรรมร้อยกรองที่มีโครงเรื่อง ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ผูกเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันไป
เช่น ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี อิเหนา เป็นต้น
2. วรรณกรรมประเภทพรรณา หรือ รำพึงรำพัน ( Descriptive or Lyrical)
มักเป็นบทร้อยกรองที่ผู้แต่งมุ่งแสดงอารมณ์ส่วนตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีโครงเรื่อง เช่น นิราศ และเพลงยาว เป็นต้น
3. วรรณกรรมประเภทบทละคร (Dramatic)
เป็นบทร้อยกรองสำหรับการอ่านและใช้เป็นบทสำหรับการแสดงด้วย เช่น บทพากย์โขน บทละครร้อง บทละครรำ เป็นต้น
บทร้อยกรองเป็นมรดกทางภาษาที่คนไทยควรภาคภูมิใจ และอนุรักษ์ไว้ร้อยกรองมีลักษณะบังคับที่เรียกว่า "ฉันทลักษณ์" มีความเเตกต่างกันตามลักษณะของร้อยกรองทั้ง ๕ ประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย
คือ เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ การนับพยางค์ขึ้นกับลักษณะบังคับของบทร้อยกรอง
คือ ข้อกำหนดของบทร้อยกรองแต่ละประเภทว่าจะต้องมีจำนวนคำ จำนวนวรรค จำนวนบาท และจำนวนบทเท่าหมด เช่น
กลอนแปด
๑ บท มี ๒ บาท
๑ บาท มี ๒ วรรค
๑ วรรค มี ๘ คำ (อาจมี ๗-๙ คำก็ได้)
กาพย์ยานี
๑ บท มี ๒ บาท
๑ บาท มี ๒ วรรค
วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ
ตัวอย่าง กลอนเเปด
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
เเม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
คือ ลักษณะบังคับให้ใช้คำคล้องจองกันมี ๔ ชนิด ได้แก่
๑. สัมผัสสระ คือ คำที่ใช้สระคล้องจองเป็ฯเสียงเดียวกัน และถ้ามีตัวสะกดมาตราเดียวกัน เช่น
สระอา มา-จา-ฝา-หา-ป่า
สระโอะ สะกดแม่กน จน-คน-ฝน-หน-ป่น
สระอา สะกดเเม่เกย
๒. สัมผัสพยัญชนะหรือสัมผัสอักษร คือ คำที่ใช้พยัญชนะต้นตัวเดียวหรือเสียงเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงตัวสะกด
เช่น จ - จิต ใจ จด จอด แจ๋ว
ด - เด็ก ดื่น ดึก ดื่ม ดาว
น - นก นอน แนบ น้ำ นิ่ง
๓. สัมผัสนอก คือ สัมผัสบังคับของร้อยกรองทุกประเภท เป็นคำที่มีเสียงคล้องจองจากวรรคหนึ่ง ใช้เเต่สัมผัสสระไม่ใช้สัมผัสอักษร
เช่น มาถึงบางธรณีทวีโศก ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
โอ้สุธาหนาเเน่นเป็นแผ่นพื้น ถึงสี่หมื่นสองเเสนทั้งเเดนไตร
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บเเสบคับเเคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ฯ
๔. สัมผัสใน คือ คำที่มีเสียงสระหรือเสียงพยัญชนะคล้องจองในวรรคเดียวกัน ทำให้บทร้อยกรองไพเราะ เช่น
จักจั่นเเจ้วเเว่วหวีดจังหรีดหริ่ง ปี่แก้วตริ่งตรบเสียงสำเนียงหนาว
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่าวพราว พระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์
สัมผัสสระ เเจ้ว-แว่ว, หวีด-หรีด, เสียง-เนียง, ฉ่ำ-น้ำ, ไหว-ใบ
สัมผัสอักษร จัก-จั่น-เเจ้ว, หวีด-หริ่ง, ยิ่ง-เย็น, พร่าว-พราว
คือ คำที่ที่เสียงหนักและเสียงเบา บังคับใช้ในบทร้อยกรองประเภทฉันท์
คำครุ มี ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑. คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในเเม่ ก กา เช่น เเม่จ๋า ฟ้าใส
๒. คำที่มีตัวสะกด เช่น เด็กน้อย เขียนอ่าน
๓. คำที่ประสมด้วย อำ ไอ ใอ เอา เช่น ขำ ได้ ให้ เขา
คำลหุ คือ คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในเเม่ ก กา
เช่น กระทะ กะทิ ปะทุ สติ อริ กระบะ ขยะ
ตัวอย่าง คำประพันธ์ที่บังคับครุ ลหุ
เเสงสูรย์สาดส่องเเสง จรัสเเจ้งจรูญตา
เทียนทองส่องทาบฟ้า ประโลมหล้าภิรมย์ชม
ชวนคิดให้ไตร่ตรอง นราผอง ณ ยามตรม
ตกอับทุกข์ทับถม บ ฝังจมเสมอไป
คือ คำหรือพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกและโท ในตำแหน่งที่กำหนดไว้ในบทร้อยกรองประเภทโคลง และร่าย
- คำเอก คือ คำหรือพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอก
- คำโท คือ คำหรือพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โท
เป็นลักษณะบังคับที่ใช้ในการเเต่งโคลง และร่าย โดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพ
คำเป็น มี ๓ ลักษณะ คือ
๑. คำหรือพยางค์ที่ประสมสระเสียงยาวในเเม่ ก กา
๒. คำที่มีตัวสะกดในมาตราเเม่ กง กน กม เกย เกอว
๓. คำที่ประสมด้วยสระ อำ ไอ ใอ เอา
คำตาย มี ๒ ลักษณะ คือ
๑. คำที่ประสมสระเสียงสั้นในเเม่ ก กา
๒. คำที่มีตัวสะกดในมาตราแม่ กก กด กบ
คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา ในการเขียนกลอนต้องรู้ว่าคำท้ายวรรคใดนิยมใช้หรือไม่นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ ใด สำหรับโคลงสี่สุภาพมีการบังคับเอกโทด้วย เช่น
เดินไพรชมหมู่ไม้ มากมี
พักผ่อนอารมณ์ดี ใช่น้อย
บุฟผากลิ่มรมณีย์ เเสนชื่น
ยามบ่ายตะวันคล้อย ร่มแท้ราวไพร
คือ คำขึ้นต้นสำหรับร้อยกรองบางประเภท เช่น
กลอนบทละคร คำว่า เมื่อนั้น บัดนั้น
ตัวอย่าง บัดนั้นพระยาเภกพิยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี
กลอนดอกสร้อย คำว่าเอ๋ย (เป็นคำที่ ๒ ของวรรคเเรก)
ตัวอย่าง เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา
กลอนเสภา คำว่า ครานั้น
ตัวอย่าง ครานั้นท่านยายทองประศร กับยายปลียายเปลอยู่เคหา