พระอภัยมณี เป็นวรรณคดีชิ้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งของไทย ผลงานชิ้นเอกของพระสุนทรโวหาร หรือสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประพันธ์ขึ้นเป็นนิทานคำกลอนที่มีความยาวมากถึง 94 เล่มสมุดไทย เมื่อพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ จะมีความยาวกว่าหนึ่งพันสองร้อยหน้า ระยะเวลาในการประพันธ์ไม่มีการระบุไว้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าสุนทรภู่เริ่มประพันธ์ราวปี พ.ศ. 2364-2366 และแต่ง ๆ หยุด ๆ ไปตลอดเป็นระยะ สิ้นสุดการประพันธ์ราว พ.ศ. 2388 รวมเวลามากกว่า 20 ปี
เนื้อเรื่องของ พระอภัยมณี
ส่วนใหญ่คือเหตุการณ์ในชีวิตของตัวละครพระอภัยมณี นับแต่อายุได้ 15 ปีและออกเดินทางไปศึกษาวิชาความรู้เช่นเดียวกับเจ้าชายในวรรณคดีไทยอื่น ๆ แต่วิชาที่พระอภัยมณีไปศึกษามา มิใช่วิทยาอาคมหรือความรู้เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง กลับเป็นวิชาดนตรีคือ การเป่าปี่ ทำให้พระบิดากริ้วมากจนขับไล่ออกจากเมือง การผจญภัยของพระอภัยมณีก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น พระอภัยกับพระอนุชาคือ ศรีสุวรรณ ระเหเร่ร่อนไปจนเจอกับสามพราหมณ์ ถูกนางผีเสื้อสมุทรจับตัวไป อยู่กินกันจนมีบุตรชายชื่อสินสมุทร ได้พ่อเงือกแม่เงือกช่วยพาหนีไปยังเกาะแก้วพิสดาร และไปร่วมสมพาสกับอมนุษย์อีกครั้งคือกับนางเงือก ได้บุตรชายชื่อสุดสาคร ต่อมาพระอภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากเจ้ากรุงผลึกและรักกันกับลูกสาวของเจ้ากรุง คือ นางสุวรรณมาลี แต่นางมีคู่หมั้นแล้วกับชาวต่างชาติแห่งเกาะลังกา ความขัดแย้งนี้ทำให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างกรุงผลึกกับกรุงลังกาเป็นเวลานานหลายปี แต่ในที่สุดสงครามก็ยุติลงได้เมื่อ นางละเวงวัณฬา ลูกสาวเจ้ากรุงลังกาซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองสาวสวย ตกหลุมรักกับพระอภัยมณีเสียเอง หลังสงคราม พระอภัยมณีปลงได้กับความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์และออกบวช โดยมีภรรยามนุษย์ทั้งสองคนคือนางสุวรรณมาลีกับนางละเวงออกบวชด้วย เรื่องราวในช่วงหลังของ พระอภัยมณี เป็นการผจญภัยของรุ่นลูก ๆ ของพระอภัยมณี โดยมีสุดสาครกับนางเสาวคนธ์เป็นตัวละครหลัก เรื่องราวของสุดสาครโดยเฉพาะในช่วง กำเนิดสุดสาคร (พระอภัยมณี ตอนที่ 24-25) นับว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่โด่งดังมากอีกชุดหนึ่ง
เรื่อง พระอภัยมณี แบ่งบทประพันธ์ไว้ทั้งสิ้น 64 ตอน
หลังเหตุการณ์พระอภัยมณีออกบวช มีผู้แต่งเรื่องต่อออกไปอีก เช่น นางเงือกได้ตัดหางและกลายเป็นมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่งานประพันธ์ของสุนทรภู่ ในฉบับพิมพ์ของหอพระสมุดจึงย่อเนื้อหาส่วนหลังเรียบเรียงเป็นร้อยแก้วบรรจุไว้ท้ายเล่
ตัวอย่างบทประพันธ์
ผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ที่มาของเรื่อง
ได้เค้าโครงเรื่องมาจาก“รามายณะ” ของอินเดีย
ความมุ่งหมาย
ให้เห็นโทษของความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจะนำมาซึ่งความประมาทอันเป็นเหตุแห่งหายนะเช่น พระลักษมณ์และไพร่พลวานรที่มัวแต่เพ่งดูเทวดา (แปลง) อย่างเพลิดเพลิน จนต้องศรของอินทรชิตในที่สุด
เนื้อหาของเรื่อง
พรรณนาถึงความยิ่งใหญ่ งดงามของกระบวนทัพของอินทรชิตซึ่งแปลงตัวเป็นพระอินทร์ ช้างเอราวัณและเหล่าเทวดา
ลักษณะคำประพันธ์
กาพย์ฉบัง ๑๖
รามเกียรติ์ ของม.ต้นเป็น ตอน นารายณ์ปราบนนทก
บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งเป็นกลอนบทละคร
จุดมุ่งหมายในการแต่ง เพื่อรวบรวมวรรณคดีเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาไว้มิให้สูญหาย
ที่มาของเรื่อง นำมาจากวรรณคดีเก่าแก่ของอินเดียชื่อ “คัมภีร์รามายณะ”
เรื่องย่อ
นนทกมีหน้าที่ล้างท้าเทวดาอยู่ที่เชิงเขาไกรลาส เมื่อเทวดาพากันไปเฝ้าพระอิศวร พวกเทวดาชอบข่มเหงนนทกอยู่เป็นประจำด้วยการลูบหัวบ้าง ตบหัวบ้าง จนกระทั่งผมร่วงหมดนนทกแค้นใจเป็นอันมาก จึงไปเฝ้าพระอิศวร กราบทูลว่าตนได้รับใช้มานาน ยังไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทนเลย จึงทูลขอให้นิ้วเป็นเพชร มีฤทธิ์ชี้ผู้ใดก็ให้ผู้นั้นตายได้ พระอิศวรก็ประทานให้ตามขอ เมื่อเทวดามาลูบศีรษะเล่นเช่นเคย นนทกก็ชี้ให้ตายลงเป็นจำนวนมาก พระอิศวรทรงทราบก็กริ้ว โปรดให้พระนารายณ์ไปปราบ พระนารายณ์แปลงเป็นนางฟ้ามายั่วยวน นนทกนักรักจึงเกี้ยวนาง นางแปลงจึงชวนให้นนทกรำตามนางก่อนจึงจะรับรัก นนทกตกลงรำตามไปจนถึงท่ารำที่ใช้นิ้งเพชรชี้เข่าตนเอง นนทกล้มลง ก่อนตายนนทกเห็นนางแปลงปรากฏร่างเป็นพระนารายณ์ จึงต่อว่าพระนารายณ์มีอำนาจ มีถึง ๔ กร เหตุใดจึงต้องทำอุบายมาหลอกลวงตน พระนารายณ์จึงให้นนทกไปเกิดใหม่ให้มีถึง ๒๐ มือ แล้วพระองค์จะตามไปเกิดเป็นมนุษย์มีเพียง ๒ มือลงไปสู้ด้วย นนทกจึงไปเกิดเป็นทศกัณฐ์ ส่วนพระนารายณ์ก็อวตารลงมาเป็นพระราม
ความเป็นมา
สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อราวปลาย พ.ศ. ๒๓๕๓ โดยเล่าถึงการเดินทางเพื่อไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่เมืองกรุงเก่าหรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน หลังจากจำพรรษาอยู่ที่วัดราช-บุรณะหรือวัดเลียบ
นิราศ
นิราศเรื่องแรกของไทยนั้น ได้แก่ โคลงนิราศหริภุญชัย เนื้อหาของนิราศส่วนใหญ่มักเป็นการคร่ำครวญของกวี ต่อ สตรีอันเป็นที่รัก เนื่องจากต้องพลัดพรากจากนางมาไกล อย่างไรก็ตาม นางในนิราศที่กวีพรรณนาว่าจากมานั้นอาจมีตัวตนหรือไม่มีก็ได้ แต่กวีส่วนใหญ่ถือว่านางเป็นที่รักเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อให้กวีแต่งนิราศได้ไพเราะแม้ในสมัยหลังกวีอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการคร่ำครวญถึงนาง แต่เน้นที่การบันทึกระยะทางการเดินทาง
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกลอนนิราศซึ่งมีลักษณะคล้ายกลอนสุภาพแต่มีความแตกต่างกันตรงที่กลอนนิราศจะแต่งขึ้นต้นเรื่องด้วยกลอนวรรครับและจะจบลงด้วยคำว่า”เอย”
เรื่องย่อ
สุนทรภู่เริ่มเรื่องด้วยการปรารภถึงสาเหตุที่ต้องออกจากวัดราชบุรณะและการเดินทางโดยเรือพร้อมหนูพัดซึ่งเป็นบุตรชาย ล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยาผ่านพระบรมมหาราชวัง จนมาถึงวัดประโคนปัก ผ่านโรงเหล้า บางจาก บางพลู บางโพ บ้านญวน วัดเขมา ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ บางธรณี เกาะเกร็ด บางพูด บ้านใหม่ บางเดื่อ บางหลวง เชิงราก สามโคก บ้านงิ้ว เกาะใหญ่ราชคราม จนถึงกรุงเก่าเมื่อเวลาเย็น โดยจอดเรือพักที่ท่าน้ำวัดพระเมรุ ครั้นรุ่งเช้าจึงไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองส่วนขากลับ สุนทรภู่กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อถึงกรุงเทพ ได้จอดเทียบเรือท่าน้ำหน้าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
สุภาษิตพระร่วงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บัญญัติพระร่วง” เป็นสุภาษิตที่เก่าแก่ ได้รับการจดจำกันมาหลายชั่วคนแล้ว เพิ่งมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 หรือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกวีในสมัยนั้นได้รวบรวมและแต่งเติมเสริมต่อให้ครบถ้วนแล้วจารึกไว้ที่ผนังวิหารด้านในทางทิศเหนือหน้ามหาเจดีย์ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2379
ต่อมาหอพระสมุดได้รวบรวมไว้ในหนังสือประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ ผู้แต่งสันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้พระราชนิพนธ์
เพื่อสั่งสอนประชาชนลักษณะการแต่ง แต่งเป็นร่ายสุภาพ ตอนจบเป็นโคลงสี่สุภาพกระทู้ 1 บท
เริ่มด้วยพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยทรงมุ่งหวังประโยชน์ในภายหน้า จึงทรงบัญญัติสุภาษิตเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติประชาชน
มีสุภาษิตทั้งหมด 158 บท
ตัวอย่างบางตอน
เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน อย่าริร่านแก่ความ เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า หน้าศึกอย่านอนใจ ไปเรือนท่านอย่านั่งนาน การเรือนตนเร่งคิด
อย่านั่งชิดผู้ใหญ่ อย่าใฝ่สูงให้พ้นศักดิ์ ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย หว่านพืชจักเอาผล เลี้ยงคนจักกินแรง น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ที่ซุ้มเสือจงประหยัด
มีสินอย่าอวดมั่ง ผู้เฒ่าสั่งจงจำความ ครูบาสอนอย่าโกรธ โทษตนผิดพึงรู้ อย่าขอของรักมิตร ชอบชิดมักจางจาก ภายในอย่านำออก ภายนอกอย่านำเข้า อาสาเจ้า
จนตัวตาย อาสานายจงพอแรง ยอข้าเมื่อเสร็จกิจ ยอมิตรเมื่อลับหลัง อย่าขุดคนด้วยปาก อย่าถากคนด้วยตา อย่าพาผิดด้วยหู อย่าเลียนครูเตือนด่า อย่าริกล่าวคำคด
คนทรยศอย่าเชื่อ อย่ามักง่ายมิดี อย่าตีงูให้แก่กา อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ำ อย่ารักถ้ำกว่าเรือน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน
1. ด้านภาษา
สำนวนภาษาที่ใช้ในสุภาษิตนี้ใช้ถ้อยคำง่ายๆ คล้องจอง กะทัดรัด ไม่มีศัพท์สูง จึงทำให้น่าอ่านเพราะง่ายต่อการเข้าใจและจดจำ
2. ด้านสังคม
คนไทยได้นับถือสุภาษิตพระร่วงเป็นแนวในการดำเนินชีวิตมาช้านาน เพราะสุภาษิตพระร่วงนี้ให้คติทั้งในทางโลกและทางธรรม คนไทยได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าสุภาษิตเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้ว จึงถือได้ว่าสุภาษิตพระร่วงเป็นสุภาษิตที่เป็นหลักฐานในสังคมไทยมาช้านาน และภาษิตบางอย่างเราก็ยึดถือกันมาจนทุกวันนี้
3. ด้านค่านิยมทางสังคม
เช่น มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ส่งเสริมการศึกษารู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวด สร้างไมตรีไม่เบียดเบียนมิตร รักเกียรติและศักดิ์ศรีมากกว่าทรัพย์ เป็นต้น
4. ด้านอิทธิพลต่อกวียุคหลัง
กวีรุ่นหลังใช้นำไปอ้างในวรรณคดีเรื่องต่างๆ เช่น มหาเวสสันดรชาดก เพลงยาวถวายโอวาท และขุนช้างขุนแผน เป็นต้น