การประสมคำ
การประสมคำ คือ การนำคำมูลในภาษามาเข้าคู่กันเพื่อให้เกิดเป็นความหมายใหม่ที่ยังคงมีเค้าความหมายเดิมอยู่ โดยมักให้คำแรกเป็นคำที่มีความหมายเป็นหลักของคำนั้น
ข้อสังเกต คำประสม ต้องเป็นเนื้อความใหม่ ไม่ใช่เนื้อความขยาย
การซ้อนคำ
การซ้อนคำ คือ การนำคำมูลสองคำขึ้นไปมารวมกัน เพื่อขยายหรือไขความหมาย หรือเพื่อให้เสียงกลมกลืนกัน
การซ้อนคำเพื่อความหมาย จะใช้เสียงที่มีความหมายคล้ายกัน มารวมกัน เช่น ครอบครอง บุกรุก คัดเลือก แจกแจง หรือความหมายตรงข้ามกันมารวมกัน เช่น ดำขาว สูงต่ำ อ้วนผม เท็จจริง มากน้อย
การซ้อนคำเพื่อเสียง จะใช้เสียงเดียวกันมาเข้าคู่ เช่น อึกอัก เอะอะ รุ่งริ่ง จุกจิก
การซ้ำคำ
คำมูลที่นำรูปและเสียงมารวมกัน แล้วความหมายแปรเปลี่ยน ใช้ไม้ยมกแทนได้ เช่น ดีๆ ดำๆ เด็กๆ หรือ เขียนซ้ำคำเดิม เช่น เรื่อยเรื่อย เรียงเรียง (ในร้อยกรอง) หรือเปลี่ยนรูปบางส่วน เช่น ค้าวขาว แด๊งแดง
การสมาสคำ
หลักการสมาส คือ นำบาลีสันสกฤตมาสมาสกัน แล้วนำคำขยายไว้ข้างหน้า ไม่ใส่เครื่องหมาย ์ ะ แต่อ่านออกเสียงต่อเนื่องกันได้ มักมีคำว่า ศาสตร์ ภัย กรรม ภาพ กร อยู่
หลักสังเกต พิจารณาว่า
1) มาจากคำบาลี สันสกฤต หรือไม่ คำที่ยกตัวอย่างให้นี้ มักใช้เป็นคำหลอก เช่น เรือน วัง ทุน สินค้า ลำเนา เคมี ไม้
2) การเรียงคำหลัก ต้องอยู่หลัก เช่น ผลผลิต (ประสม) ผลิตผล (สมาส)
การสนธิคำ
หลักการของสนธิ คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้คำใหม่ วิธีสังเกต ลองแยกคำเหล่านั้นออก แล้วดูว่า ต้องเติม อ เพื่อให้ได้คำหลังที่สมบูรณ์หรือไม่ เช่น
ราโชรส มาจาก ราช – โอรส, คเชนทร์ มาจาก คช – อินทร์ เป็นต้น
การแผลงคำ
การเปลี่ยนแปลงอักษรของคำในภาษาไทยหรือคำในภาษาอื่นที่ไทยนำมาใช้ให้มีรูปที่ต่างไปจากเดิม มีความหมายใหม่ แต่ยังคงรักษาเค้าของความหมายเดิม
การแผลงสระ คือ การเปลี่ยนแปลงคำทางสระให้คำนั้นมีสระผิดไปจากเดิม เช่น จาก สระอะ เป็นสระอา ในคำว่า อธรรม – อาธรรม, วน – วนา เป็นต้น
การแผลงพยัญชนะ คือ การเปลี่ยนแปลงคำ โดยแปลงพยัญชนะ ไปเป็นพยัญชนะอื่น อาจกลายร่วมกับสระด้วย เช่น กัน – กำนัน, เกิด – กำเนิด, ขจร – กำจร, จน – จำนน, ขาน – ขนาน, ชิด – ชนิด, ทรุด – ชำรุด, ผทม – บรรทม, เพราะ – ไพเราะ, พัก – พำนัก, จอง – จำนอง
การแผลงวรรณยุกต์ คือ การเปลี่ยนแปลงคำด้วยการแปลงวรรณยุกต์ในคำนั้น ๆ ให้เป็นรูปอื่น เช่น จึง – จึ่ง, ดัง – ดั่ง, บ – บ่, นั่น – นั้น, นี่ – นี้ เป็นต้น
การทับศัพท์
การทับศัพท์ หมายถึง คำภาษาต่างประเทศที่เขียนด้วยตัวอักษรไทย โดยมากมักเป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษ เช่น ฟุตบอล ปลั๊ก ทอฟฟี่ เชิ้ต แท็กซี่ แบตเตอรี่ โน้ต คอมพิวเตอร์ ชาร์ต
การบัญญัติศัพท์
ศัพท์บัญญัติ หมายถึง การกำหนดคำขึ้นมาเพื่อแทนคำที่ยืมมาใช้ โดยให้เป็นคำในภาษาไทยที่มีความหมายตรงกับคำที่ยืมมา แต่ในการประกอบรูปคำขึ้นใหม่นั้น อาจใช้ทั้งคำไทยแท้ หรือคำจากภาษาอื่น ๆ มาประกอบกันด้วยวิธีการต่าง ๆ
กลุ่มคำ หรือวลี
กลุ่มคำ คือ การที่คำหลายคำมารวมกันแล้วมีความหมายเพิ่มขึ้น
ข้อสังเกต กลุ่มคำ ต่างจากคำประสมตรงที่ คำประสมจะมีความหมายใหม่เกิดขึ้น ส่วนกลุ่มคำมีเพียงความหมายเพิ่ม ทั้งนี้ต้องพิจารณาบริบทของคำนั้นด้วย
ประโยค
ประโยคในภาษาไทย หากพิจารณาตามโครงสร้างมี 3 ประเภท คือ ประโยคความเดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว อย่างไรก็ดี ประโยคความเดียวก็อาจมีความซับซ้อนได้
ประโยคความรวม
ประโยคความรวม คือ ประโยคที่มีใจความมากกว่าหนึ่ง มักปรากฏคำเชื่อม และการเชื่อมความใน 4 ลักษณะ คือ การเชื่อมแบบคล้อยตาม การเชื่อมแบบขัดแย้ง การเชื่อมแบบให้เลือก และการเชื่อมแบบเป็นเหตุเป็นผลกัน ตัวอย่างของประโยคความรวมที่มีความซับซ้อน
ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความร่วมกันแบบใจความหลักกับใจความรอง แบ่งเป็น 3 ประเภทของการซ้อนความ คือ นามานุประโยค (ทำหน้าที่เป็นเหมือนนามในประโยค)คุณานุประโยค (ขยายคำนาม ตามหลังคำว่า ที่ ซึ่ง อัน) และวิเศษณานุประโยค (ขยายกริยา และวิเศษณ์ มักตามหลังคำว่า ให้ ว่า)