บทที่ 1 ความรู้และการคิดเชิงออกแบบเพื่อการแก้ปัญหา (20 ข้อ) ศึกษาวิดีโอและอ่านเนื้อหา
บทที่ 2 โครงงานกับการแก้ปัญหา (8 ข้อ)
บทที่ 3 การสร้างประโยชน์จากผลงาน (12 ข้อ)
การสร้างประโยชน์จากผลงาน
การสร้างประโยชน์จากผลงาน เป็นการพัฒนาผลงานทั้งที่เป็นชิ้นงาน (ผลิตภัณฑ์) หรือที่เป็นวิธีการในการแก้ปัญหา ศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา คิดสร้างสรรค์ โดยบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อให้ผลงานมีมูลค่าเพิ่มขึ้น คำว่า “มูลค่า” นอกจากจะหมายถึงราคาของสิ่งของนั้นแล้ว ในทางการตลาดยังหมายถึงคุณค่าทางจิตใจที่ได้จากการประเมินค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากผลงานที่พัฒนาขึ้นนั้นมีความแปลกใหม่ และไม่เคยมีผู้ใดคิดทำมาก่อน ผู้สร้างก็จะได้ผลงานใหม่ที่เรียกว่านวัตกรรรมซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผู้สร้าง และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังสามารถสร้างประโยชน์ด้วยการนำเสนอผลงานต่อสาธารณะเพื่อพัฒนาต่อยอดผลงานในเชิงพาณิชย์ หรือเพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต
“นักเรียนคิดว่าการสร้างประโยชน์จากผลงานคืออะไร และสามารถทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง”
ประโยชน์ หมายถึง สิ่งที่มีผลใช้ได้ดีสมกับที่คิดมุ่งหมายไว้ ผลที่ได้ตามต้องการ สิ่งที่เป็นผลดีหรือเป็นคุณ
มูลค่า หมายถึง ค่าของสิ่งของ ราคาของสิ่งของนั้น
คุณค่า หมายถึง สิ่งที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าสูง
“ทำไมจึงต้องเพิ่มมูลค่าและสร้างมูลค่าให้ผลงาน”
ผลงาน ได้แก่ ชิ้นงาน (ผลิตภัณฑ์) หรือวิธีการในการแก้ปัญหาแต่ละอย่างนั้น อาจมีมูลค่าแตกต่างกันขึ้นอยู่กับบริบทต่าง ๆ ได้แก่ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม จริยธรรม หรือแม้แต่กระทั่งความเชื่อของแต่ละบุคคล ผลงานชนิดเดียวกันจึงอาจมีมูลค่าแตกต่างกันได้ในแต่ละสถานที่ ดังนั้น การเพิ่มมูลค่าและการสร้างมูลค่าของผลงานจึงเป็นการเพิ่มความแตกต่างของผลงานให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลในแต่ละบริบท
การเพิ่มมูลค่า (Value addition)
หมายถึง การเพิ่มความรับรู้ถึงคุณค่าทางจิตใจที่ได้จากการประเมินค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่ได้รับกลับมากับสิ่งที่เสียไปเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วย โดยการเพิ่มมูลค่า อาจกล่าวได้ว่า หมายถึง การทำให้ผลงานใดๆตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุด โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการก็ได้ เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด
ประโยชน์ หมายถึง สิ่งที่มีผลใช้ได้ดี สมกับที่คิดมุ่งหมายไว้ มูลค่า หมายถึง ค่าของสิ่งของราคาของสิ่งของนั้น โดยมูลค่าซึ่งหมายถึงการรับรู้ทางจิตใจนั้น สามารถแบ่งได้เป็นมูลค่าของชิ้นงานหรือผลิตภัณฑ์ และมูลค่าของวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเพิ่มมูลค่าสามารถใช้ส่วนประสมทางการตลาด (marketing mix) ซึ่งมีองค์ประกอบคือ 4Pโดยจากวีดิทัศน์จะประกอบไปด้วยกรณีตัวอย่าง การเพิ่มมูลค่าของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce : E-commerce) โดยเพิ่มมูลค่าได้เป็น E-payment E-banking การชำระสินค้าและบริการธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคาร สถาบันการเงิน ทางอิเล็กทรอนิกส์ E-money and E-wallet การใช้เงินและกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ E-logistic ระบบบริหารจัดการสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์
การสร้างมูลค่า (value creation) หมายถึง การสร้างคุณค่าให้ผลงาน ซึ่งเน้นที่การตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ทั้งที่เป็นวัตถุ สิ่งของ และทางด้านอารมณ์ความรู้สึก จึงมีความหมายลึกซึ้งกว่าการ เพิ่มมูลค่า โดยการสร้างมูลค่าส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายต่อกลุ่มผู้บริโภค เฉพาะกลุ่มซึ่งจะทำให้ลดการแข่งขันในท้องตลาด ส่งผลให้ธุรกิจเติบโต
ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรือ สร้างสรรค์ ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่ค านึงถึงชนิดของ การสร้างสรรค์ หรือวิธีการแสดงออก ทรัพย์สินทางปัญญาอาจเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เช่น สินค้าต่างๆ หรือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น แนวความคิด กรรมวิธี และทฤษฎีต่าง โดย ทรัพย์สินทางปัญญาสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (industrial property) และ ลิขสิทธิ์ (copyright)
สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (invention patent) คือการให้ความคุ้มครอง การคิดค้นเกี่ยวกับลักษณะองค์ประกอบโครงสร้าง หรือกลไกของ ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การเก็บรักษา หรือ การปรับปรุง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสิทธิบัตรการประดิษฐ์จะต้องมีรายละเอียด เช่น เลขสิทธิบัตร เลขที่ขอ วันที่ขอรับสิทธิบัตร ผู้ประดิษฐ์ บทสรุปการ ประดิษฐ์
สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (design patent) หมายถึง การให้ความคุ้มครอง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับรูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบของ ลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบส าหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รวมทั้งหัตถกรรมได้
อนุสิทธิบัตร (petty patent) คือ การให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์ ซึ่งเป็นความคิด สร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียง เล็กน้อย และมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิตการรักษาหรือ ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น หรือท าให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ ที่แตกต่างไป จากเดิม เช่น กลไกของเครื่องยนต์ ยารักษาโรค วิธีการในการเก็บรักษาพืชผักผลไม้ ไม่ให้เน่าเสียเร็วเกินไป
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร คือ ด้านการคุ้มครองลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกภายในผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การรักษาหรือปรับปรุง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น สิ่งที่ต่างกันคืออนุสิทธิบัตรจะพิจารณาการประดิษฐ์ที่มีการปรับปรุงแก้ไขผลิตภัณฑ์เพียงเล็กน้อยและมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ในขณะที่สิทธิบัตรการ ออกแบบผลิตภัณฑ์จะคุ้มครองรูปร่างหรือรูปทรงภายนอกผลิตภัณฑ์ รวมถึงลวดลายหรือสีของ ผลิตภัณฑ์ รายละเอียดศึกษาได้จากเว็บไซต์ https://www.ipthailand.go.th/th/ความ เหมือนและความแตกต่างของสิทธิบัตร-อนุสิทธิบัตร-สิทธิบัตรการออกแบบ.html
ปัจจัยการนำเสนอผลงาน ประกอบไปด้วย
1. ผู้นำเสนอผลงาน เป็นผู้ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดสื่อสารเนื้อหาไปยังผู้ฟัง ซึ่งผู้นำเสนอผลงานจะต้อง วางแผนก่อนการนำเสนอ เตรียมอุปกรณ์ที่สอดคล้องกับเนื้อหา บริหารเวลาได้ มีการนำเสนออย่างราบรื่นและ ดูดีรวมทั้งอาจใช้ภาษาทางกาย ได้แก่ ดวงตา ท่าทาง และการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมสรุปจบอย่างน่า ประทับใจ ชัดเจน และครบถ้วน
2. เนื้อหาหรือผลงานที่นำเสนอ การนำเสนอโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆมาช่วยในการนำเสนอ จะช่วยให้การนำเสนอมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาจากผลงานของนักเรียนที่เป็นผลลัพธ์ของการแก้ปัญหา ผ่าน การทำโครงงานที่ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่เป็นระบบ ถือว่าเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ
3. ผู้ฟังหรือกลุ่มเป้าหมาย การนำเสนอผลงานจะต้องมีการวิเคราะห์ผู้ฟังหรือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งผู้ฟังหรือ กลุ่มเป้าหมายนั้น อาจมีหลายช่วงอายุและมีประสบการณ์ที่หลากหลาย ดังนั้น ผู้นำเสนอจึงควรหาข้อมูล เกี่ยวกับผู้ฟัง และเตรียมเนื้อหา ตลอดจนใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้ฟังและตรงวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ