พระมารดาแห่งไหมไทย
กำเนิดการอนุรักษ์ผ้าไหมไทย
พุทธศักราช 2513 เกิดอุทกภัยขึ้นในจังหวัดนครพนม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนินีนาถเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยและพราะราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ในขณะเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่า การพระราชทานสิ่งของเป็นเพียงการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของราษฎร ควรสร้างอาชีพที่มีรายได้สม่ำเสมอเพื่อราษฎรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในระยะยาว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนีนาถทรงตระหนักในพระราชปรารภดังกล่าว ทรงพบว่าราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จล้วนสวมใส่ผ้าไหมมัดหมี่ซึ่งมีลวดลายวิจิตรสวยงาม น่าจะทำเป็นอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว จึงเป็นจุดเริ่มต้นโครงการผ้าไหมมัดหมี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงส่งเสริมการทอผ้าไหมทุกพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ทรงรับซื้อสำหรับตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ โดยให้ราคาผ้าสูงกว่าทั่วไปเพื่อให้คุ้มค่าแรงงาน โดยให้จดชื่อและที่อยู่ของผู้ทอผ้าที่มีลวดลายเฉพาะถิ่นสวยงามเป็นพิเศษ พระราชทานคำแนะนำให้ชาวบ้านขยายฟืม (เครื่องสำหรับทอผ้ามีฟันเป็นซี่ๆ คล้ายหวี สำหรับสอดเส้นด้ายหรือไหม) เพื่อให้สามารถทอผ้าได้ยาวขึ้น ทรงตรวจคุณภาพและพระราชทานคำแนะนำการย้อมสี และยังพระราชทานสิ่งของและอุปกรณ์ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นแก่ผู้ทอผ้า เช่น แว่นตา ห้องเลี้ยงไหม พันธุ์ไหม พันธุ์หม่อน และ อุปกรณ์ทอผ้า
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงส่งเสริมและสนับสนุนให้ทอผ้าไหมออกมาจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้และสร้างความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นเรื่อยมา นำไปสู่การจัดตั้ง มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนินีนาถ และก่อตั้งโรงเรียนฝึกศิลปาชีพในบริเวณสวนจิตรลดา เพื่อเป็นศูนย์กลางศิลปาชีพทั่วประเทศ และมีพระราชดำริให้ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ทำให้ราษฎรจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รักถิ่นฐาน และไม่ละทิ้งไปหางานทำในเมือง