ลักษณะเด่นของดนตรีแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีไทยในวัฒนธรรมไทย
ลักษณะเด่นของดนตรีไทยในวัฒนธรรมไทยมีอยู่หลายด้าน ดังนี้
1. ด้านเครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีไทยสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท ได้แก่
1. เครื่องดีด เช่น จะเข้ กระจับปี่ เป็นต้น
2. เครื่องสี เช่น ซออู้ ซอด้วง ซอสามสาย เป็นต้น
3. เครื่องตี เช่น กรับ ระนาด ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ กลองชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
4. เครื่องเป่า เช่น ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ขลุ่ยหลีบ ปี่ชวา ปี่นอก ปี่ใน เป็นต้น
ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีไทยอาจถูกแบ่งไว้ตามลักษณะเฉพาะเครื่องและแบ่งตามบทบาทหน้าที่ในการบรรเลง ลักษณะเฉพาะเครื่องก็คือ รูปร่าง ลักษณะ วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรี ตลอดจนวิธีทำให้เกิดเสียงซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้นในการกำหนดลีลาการดำเนินทานอง ส่วนบทบาทหน้าที่ในการบรรเลงของเครื่องดนตรีไทยจะถูกกำหนดไว้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนำ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีเสียงสูงทั้งหมด ทำหน้าที่ในการบรรเลงนำทำนอง เช่น ระนาดเอก ฆ้องวงเล็ก ซอด้วง ขลุ่ยหลีบ เป็นต้น และ กลุ่มตาม ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มต่ำทั้งหมด ทำหน้าที่ในการบรรเลงตามทำนอง เช่น ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ซออู้ เป็นต้น
2. ด้านวงดนตรี
สำหรับวงดนตรีไทยนั้น ถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของการบรรเลงและระเบียบของวิธีการเล่น ในปัจจุบันนั้น มีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ วงเครื่องสาย วงปี่พาทย์ และวงมโหรี
- ลักษณะเด่นของวงเครื่องสาย วงเครื่องสายจะมีลีลาในการดาเนินทำนอง โดยเฉพาะ“ซอ” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซอมีการเคลื่อนที่ของทำนองจากต่ำไปสูงและจากสูง ลงมาต่ำได้โดดเด่นกว่าเครื่องบรรเลงทำนองชนิดอื่น เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีที่มี ความกว้างของช่วงเสียงหรือ พิสัยเสียง(Range) ที่แคบกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น การเคลื่อนที่ของทำนองจึงถูกกำหนดอยู่ในกรอบของระดับเสียงที่จำกัดการเคลื่อนที่ของทำนองลักษณะนี้จึงถือเป็นเสน่ห์ เฉพาะตัวของวงดนตรีประเภทนี้ได้ เป็นอย่างดี
- - ลักษณะเด่นของวงปี่พาทย์ ในวงปี่พาทย์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีและค่อนข้างมีเสียงดังเป็นหลัก จะมีเพียงปี่เท่านั้นที่เป็นเครื่องเป่ารวมอยู่ด้วย โดยธรรมชาติของการสร้างเสียงสาหรับเครื่องดนตรีประเภทตี คือ เมื่อตี 1 ครั้งจะให้เสียงได้ 1 เสียง ลักษณะดังกล่าวนี้จึงทำให้วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีที่มีลีลาการบรรเลงแบบเก็บในเพลงประเภททางพื้นได้อย่างโดดเด่น
- - ลักษณะเด่นของวงมโหรี วงมโหรีจัดเป็นวงดนตรีที่มีความหลากหลายและสมบูรณ์ในด้านเสียงมากที่สุด เนื่องจากประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีหลักในวงเครื่องสายและวงปี่พาทย์ มารวมกัน
3. ด้านภาษา เนื้อร้อง
ลักษณะภาษาที่ใช้ในเพลงไทยเป็นภาษาที่เป็นมาตรฐานและคำร้อยกรองมีความวิจิตรบรรจง หรือใช้ภาษาหนังสือตามแบบแผน เนื้อร้องอาจกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ เช่น เรื่องราวในนิทานชาดก นิทานเกี่ยวกับพุทธประวัติ วรรณคดีลายลักษณ์ของไทย ตลอดจนการพรรณาชมธรรมชาติ ความรักความงามต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนการขับร้องจะออกเสียงตรงตามวรรณยุกต์ของภาษามาตรฐานที่เป็นแบบแผน
3. ด้านสำเนียง
สำเนียงของเพลงไทยได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จะเห็นได้จากชื่อเพลงที่ใช้ชื่อตามภาษาเดิม ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการปรับปรุงใหม่โดยการนำชื่อชนชาติที่ เป็นเจ้าของสาเนียงนั้นมาตั้งนำหน้าชื่อเพลง เช่น เพลงลาวเจริญศรี เพลงจีนหลวง เป็นต้น เพลงสำเนียงภาษาต่าง ๆเหล่านี้ถูกนำมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุด มี 12 ภาษา หรือเรียกอีกชื่อว่า “เพลงออกภาษา” สำเนียงทั้ง 12 ภาษานี้ประกอบด้วย ไทย จีน พม่า มอญ ลาว แขก ฝรั่ง มลายู ญี่ปุ่น ญวน เขมร และเงี้ยว ซึ่งแต่ละสำเนียงจะถูกหยิบมาเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของชนชาตินั้น ๆ ส่วนเพลงไทยเดิมที่เป็นของไทยแท้ ๆ เช่น เพลงเทพทอง เพลงต้นวรเชษฐ์ เป็นต้น ฃ
4. ด้านองค์ประกอบบทเพลง
เมื่อพิจารณาบทเพลงไทยให้ถ่องแท้จะพบว่า เพลงไทยบางเพลงมีความหวานซึ้ง ไพเราะจับใจ ในขณะที่เพลงบ้างเพลงฟังแล้วรู้สึกคึกคักหรือฮึกเหิม ซึ่งบทเพลงต่าง ๆ เหล่านั้นต่างก็ให้อรรถรสที่แตกต่างกันออกไป การที่ผู้ฟังดนตรีแล้วก่อเกิดอารมณ์และความรู้สึกเหมือนกันหรือต่างกันออกไปนั้น เกิดได้จากปัจจัยหรือองค์ประกอบของบทเพลงหลายอย่างทั้ง เนื้อร้อง คนร้อง ทางของเพลง สำนวนการประพันธ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่เพลงสามารถทาให้ผู้ฟังเข้าถึงอรรถรสได้ดี ก็คือลีลาของเพลง
1. วัฒนธรรมดนตรีจีน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก โดยชาวจีนได้สั่งสมวัฒนธรรมของตนมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน รวมไปถึงวัฒนธรรมทางดนตรีด้วย ดนตรีในแบบแผนดั้งเดิมของจีนถูกประพันธ์ขึ้นจากบันไดเสียง 5 เสียง ที่เรียกว่า “บันไดเสียงเพนทาทอนิก” (Pentatonic Scale) ลักษณะของดนตรีจะประกอบไปด้วยทำนองและเสียงประสาน ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของดนตรีจีน คือ การใช้เครื่องดนตรีที่มีสีสันของเสียงสอดคล้องกับแนวทำนองเพลงจีนวัฒนธรรมดนตรีจีนมีหลายช่วงที่มีความเจริญเฟื่องฟู และก็มีบางช่วงที่ต้องหาหนทางเพื่อให้ดนตรีดำรงอยู่ หลังจากการสิ้นสุดของราชวงศ์สุดท้ายของจีนใน พ.ศ. 2454 ดนตรีจีนที่เคยมีในราชสำนักสืบเนื่องมาอย่างยาวนานได้ถูกพิจารณาเป็นความล้าสมัย ดนตรีแบบแผนดั้งเดิมไม่ได้รับการสนับสนุน ทำให้นักดนตรีท้อถอยและหมดกำลังใจ แต่หลังจากที่ประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงสภาพการปกครองภายใต้แนวคิดใหม่ ดนตรีจีนก็ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาจากรัฐบาลให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ประเภทของเครื่องดนตรีจีน จัดแบ่งออกเป็น 8 หมวดหมู่ ตามวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ทำเครื่องดนตรี คือ โลหะ หิน ไม้ ดิน หนัง ไม้ไผ่ น้ำเต้า และไหม เครื่องดนตรีที่สำคัญและควรรู้จักมีดังต่อไปนี้
1. กู่ฉิน (Gu Qin) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด ตัวเครื่องเป็นกล่องดำลงรักฝังเปลือกมุก มี 7 สาย ในสมัยโบราณสายจะทำด้วยเส้นไหม แต่ในปัจจุบันสายทำด้วยลวดหุ้มพลาสติก การใช้สายที่มีขนาดต่างกันและการกดสายในตำแหน่งที่แตกต่างกัน จะทำให้เกิดเสียงที่หลากหลาย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงได้ยากมากเนื่องจากเวลาดีด จะต้องดีดให้ออกเสียงตรงตามเครื่องหมายที่กำหนดไว้ 13 จุด เสียงที่ออกมาจึงจะไม่ผิดเพี้ยน
2. ดี (Di) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า (เป่าด้านข้าง) ทำจากไม้ไผ่ บางครั้งเลี่ยมด้วยงาช้างทั้งหัวและท้าย หรือแกะสลักเป็นหัวมังกรและหางมังกร มีรูเปด - ปดเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง นิยมนำมาบรรเลงแบบเดี่ยว แบบรวมวงออร์เคสตรา (Orchestra) และแบบประกอบการแสดงอุปรากรจีนด้วย
3. เอ่อหู (Erhu) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี มี 2 สาย ขนหางม้าของคันชักจะอยู่ตรงกลางระหว่างสายทั้ง 2 สาย ส่วนกล่องเสียงเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมหุ้มด้านหน้าด้วยหนังงู หัวซอนิยมแกะสลักเป็นรูปมังกร หรือค้างคาวระดับเสียงของซอจะกว้างถึง 3 ช่อง เสียงจะสามารถถ่ายทอดถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่มีทั้งความหนักแน่น และความอ่อนหวานผสมผสานกัน
2. วัฒนธรรมดนตรีอินเดีย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เป็นแหล่งอารยธรรมที่มีอิทธิพลแพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ ของภาคพื้นเอเชียและที่อื่นๆ ของโลกดนตรีของประเทศอินเดียที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปก็คือ “ดนตรีศิลป” (Art Music) หรือ “ดนตรีคลาสสิกของอินเดีย” (Classical music of India) ซึ่งเป็นดนตรีในแบบแผนศิลปะชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าและบันทึกเสียงอย่างกว้างขวาง โดยมีรากฐานสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณดนตรีศิลปเน้นไปที่การพัฒนาแนวทำนอง โดยใช้วิธีการด้นทำนอง (Improvisation) ซึ่งหมายถึงการเล่นทำนองออกมาในทันทีโดยไม่ได้แต่งทำนองไว้ก่อน แต่ก็มีทำนองที่แต่งไว้ก่อนแล้วอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งนักดนตรีจะศึกษาการบรรเลงทำนองโดยใช้ความจำ หรืออาจมีการบันทึกโน้ตดนตรีบ้างการประสมวงดนตรีของประเทศอินเดียมีลักษณะเป็นวงดนตรีขนาดเล็ก มีผู้บรรเลง 3-5 คนซึ่งจะประกอบไปด้วยผู้บรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดหนึ่งคน เครื่องดนตรีที่ใช้ คือ ซีตาร์ (Sitar) และจะมีผู้เล่นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด หรือประเภทอื่นอีกชิ้นหนึ่งเพื่อร่วมบรรเลงประกอบ พร้อมด้วยผู้เล่นกลองซึ่งบางครั้งก็เป็นนักร้องไปด้วยในขณะเดียวกัน รวมทั้งมีเครื่องดนตรีที่ทำเสียงหึ่ง (Drone) คือ เสียงที่มีระดับเสียงเดียวครางนิ่งยาวอยู่ตลอดเวลาขณะที่วงดนตรีกำลังบรรเลง ระยะเวลาที่ใช้ในการบรรเลงเพลงดังกล่าว จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เครื่องดนตรีของประเทศอินเดีย นอกจากมีในประเทศอินเดียแล้ว บางชนิดก็แพร่กระจายไปยังประเทศเนปาล ประเทศเมียนมา ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศลาว ซึ่งเครื่องดนตรีที่สำคัญและควรรู้จัก มีดังต่อไปนี้
1. ตาบลา (Tabla) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีบทบาทมากที่สุด สามารถทำเสียงจังหวะได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะประกอบไปด้วยกลอง2 ใบ กลองใบที่อยู่ด้านขวามือของผู้บรรเลงจะเรียกว่า “คาบาน” ให้เสียงสูง ส่วนกลองใบที่อยู่ด้านซ้ายมือของผู้บรรเลงจะเรียกว่า “บายาน” ให้เสียงต่ำ ข้างกลองแต่ละใบมีไม้ขึงไว้เพื่อปรับระดับเสียง วัสดุที่ใช้ทำกลองมีทั้งไม้ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม ทองแดง ดินเผา และขึงด้วยหนังวัว หรือหนังแพะ
2. ซีตาร์ (Sitar) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด แต่เดิมมีสายจำนวน3 สาย ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีจำนวนสายเพิ่มขึ้นเป็น 20 สาย ส่วนการจัดเรียงสายมีทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่องดนตรี จัดเป็นเครื่องดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากในทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย
3. เชห์ไน (Shehnai) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า มีลักษณะเป็นปี่ลิ้นคู่ ให้เสียงที่มีลักษณะแหลมเล็ก ลำตัวทำจากไม้ ตรงส่วนปลายมีลำโพงเป็นรูปทรงกรวยทำด้วยโลหะ มีรูเปด-ปดนิ้วเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงไปตามทำนองเพลง นิยมนำมาใช้เป่าเพื่อเลียนเสียงผู้ขับร้อง ในประเทศไทยจะเรียกปี่ที่มีลักษณะรูปทรงเช่นนี้ว่า “ปไฉน”
3.วัฒนธรรมดนตรีอาหรับ
อาหรับเป็นชนชาติหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรอาหรับ หรือภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้รวมทั้งตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษาอาหรับ คำว่า “อาหรับ” ในตระกูลภาษาเซมิติก แปลว่า ทะเลทราย บ่อเกิดของศาสนาอิสลามอยู่ที่อาหรับตะวันตก หรืออาหรับเปอร์เซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย เช่น ประเทศอิหร่าน ประเทศซาอุดีอาระเบียประเทศตุรกี เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของดนตรีอาหรับในปัจจุบันสำหรับเครื่องดนตรีอาหรับส่วนใหญ่เป็นประเภทเครื่องสาย (Chordophone) และเครื่องเป่า (Idiophone) แนวการบรรเลงดนตรีมีจุดเด่นตรงการประสานเสียงระหว่างทำนองและจังหวะที่กลมกลืน มีลีลาของทำนองที่ไพเราะสอดแทรกการประสานเสียงร้องกับเครื่องดนตรีและจังหวะกลองที่ไพเราะ ทำให้แสดงถึงความเป็นเอกภาพของชาวอาหรับที่มีความสามัคคีกันได้เป็นอย่างดีพวกเปอร์เซียทำให้ศาสนาอิสลามเริ่มเป็นศาสนาสำคัญของโลก นับตั้งแต่ ค.ศ. 750 ก่อนจะแผ่ขยายอิทธิพลไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งแอฟริกาตอนเหนือและยุโรปตอนใต้ ทำให้วัฒนธรรมดนตรีอาหรับได้รับการเผยแพร่ไปยังดินแดนดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆของนักดนตรีและพ่อค้าชาวอาหรับ มีส่วนทำให้ดนตรีอาหรับได้รับถ่ายทอดและหล่อหลอมรูปแบบชีวิต วัฒนธรรม และศิลปะยุโรป โดยเฉพาะบริเวณคาบสมุทรไอบีเรีย สเปน และโปรตุเกสด้วยปัจจุบันการแสดงดนตรีอาหรับที่อยู่ในลักษณะของคอนเสิร์ต หรือการแสดงดนตรีอย่างเป็นทางการมีไม่มาก การแสดงส่วนใหญ่มีลักษณะที่ไม่เป็นทางการ มีการแสดงดนตรีบ้างในสถานบันเทิงที่ได้รับอนุญาตจากภาครัฐ
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงอยู่ในตะวันออกกลางจะมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญและควรรู้จัก มีดังต่อไปนี้
1. ต็อมบัก (Tom- Bak) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีรูปร่างคล้ายกับแก้วไวน์ หรือบางชิ้นมีรูปร่างคล้ายกับนาฬกาทราย
2. อุด (Ud) หรือโอด (Uod) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดชนิดหนึ่งในกลุ่มเครื่องสายโบราณมีรูปทรงของลำตัวเป็นรูปลูกแพร์คล้ายกีตาร์ (Guitar) ด้านหน้ามีลักษณะเป็นรูปวงรี มีขนาดใหญ่กว่ากีตาร์ที่ใช้เล่นในปัจจุบันเล็กน้อยจัดเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มชนชาวอาหรับ โดยชาวอาหรับยกย่องเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่าเป็น “ราชาแห่งเครื่องดนตรี”
3. รือบับ (Rebab) เป็นเครื่องดนตรีประเภทสี เกิดขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8และแพร่กระจายไปทั่วโลกที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม โดยเชื่อกันว่าเป็น “เครื่องดนตรีบรรพบุรุษของไวโอลิน”
4.วัฒนธรรมดนตรีแอฟริกัน
ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับตัวจากการได้รับอิทธิพลที่แปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างวัฒนธรรมของซีกโลกตะวันตกกับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนดนตรีของชาวแอฟริกันเป็นดนตรีที่ผู้ฟังมีส่วนร่วม สามารถเป็นได้ทั้งผู้เล่น ผู้เต้นรำ และผู้ฟังไปในเวลาเดียวกันได้ รูปแบบของดนตรีแอฟริกันมีความโดดเด่นในด้านการบรรเลงเครื่องตีที่มีจังหวะเร้าใจ ซึ่งดนตรีตามแบบแผนดั้งเดิมของชาวแอฟริกันมักจะมีสิ่งต่างๆ เข้ามาประกอบในการแสดงออกทางดนตรีด้วย เช่น การตกแต่งร่างกาย เสื้อผ้า การเต้นรำรูปปัน เป็นต้น ส่วนเพลงขับร้องนั้นจะใช้เพื่อแสดงออกทางความคิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเล่านิทานที่กล่าวถึงความเป็นมาของชนเผ่าและใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น การฉลองเด็กเกิดใหม่ พิธีมงคลสมรสรวมไปถึงการล่าสัตว์ สงครามระหว่างชนเผ่า เป็นต้นในปัจจุบันดนตรีแอฟริกันได้ปรับเปลี่ยนและผสมผสานกับวัฒนธรรมดนตรีตะวันตก เพื่อให้เกิดดนตรีในรูปแบบใหม่ๆ แต่ก็ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ ทั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนด้านลักษณะของดนตรีแต่ยังรวมไปถึงบริบทของดนตรีด้วย กล่าวคือ บทบาทของผู้ฟังและผู้เล่นเปลี่ยนจากที่ทุกคนมีส่วนร่วมกลายเป็นผู้ฟังจะนั่งฟังเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันบทเพลงจากเดิมที่เกิดจากการด้นสดไม่มีการบันทึกโน้ต ก็เปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างบทประพันธ์ขึ้นใหม่มีการเขียนบันทึกโน้ตเพลง และนำเอาเครื่องดนตรีตะวันตกมาประสม ซึ่งบทประพันธ์ใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นได้สะท้อนถึงการยอมรับอิทธิพลดนตรีตะวันตกที่เข้ามาประสมในวัฒนธรรมดนตรีของตน
เครื่องดนตรีในวัฒนธรรมดนตรีแอฟริกันมีเป็นจำนวนมากและมีความหลากหลาย ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี ซึ่งเครื่องดนตรีที่สำคัญและควรรู้จัก มีดังต่อไปนี้
1. โคร่า (Kora) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพิณ นิยมใช้เล่นกันทั่วไปในแอฟริกาตะวันตก โดยมีการนำผลน้ำเต้าขนาดใหญ่มาผ่าซีกแล้วขึงด้วยหนังวัวเพื่อให้เกิดเสียงสะท้อน ประกอบเข้ากับสะพานสายเช่นเดียวกับกีตาร์ (Guitar) ซึ่งเสียงของโคร่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเสียงของฮาร์ป (Harp)
2. ดีเจมเบ้ (Djembe) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีที่มาจากแอฟริกาตะวันตก มีรูปร่างคล้ายกับโถหน้ากลองขึงด้วยหนังสัตว์ ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20
3. วูวูเซลา (Vuvuzela) หรือเลปาตาตา (Lepatata) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าคล้ายกับทรัมเป็ต (Trumpet) มีความยาวประมาณ 1 เมตร เสียงของวูวูเซลาจะมีความดังกึกก้องคล้ายกับเสียงร้องของช้าง ปัจจุบันนิยมนำมาใช้ในการเชียร์กีฬา