โครงการธรรมะออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้
อริยสัจ ๔ กับธาตุ ๔ ขันธ์ ๕
อริยสัจ ๔ เชื่อมโยงกับธาตุสี่ และ ขันธ์ห้าอย่างไร
ธาตุสี่ขันธ์ห้ามันเป็นทุกขสัจจะมันจัดอยู่ในอริยสัจข้อที่หนึ่งที่เราต้องรู้ หนึ่งเราต้องรู้ทุกข์โดยความเป็นตัวทุกข์ สองรู้ทุกข์โดยสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์คือธาตุสี่ขันธ์ห้าอายตานะหกเพราะทุกข์จะแสดงออกที่ธาตุสี่ขันธ์ห้าอายตานะหกอันนั้นคือสิ่งที่เป็นที่ตั้งหรือที่แสดงออกของทุกข์กับตัวทุกข์ความไม่สบายกายไม่สบายใจคือคือพูดโดยรวมโดยย่อคือความไม่สบายกายไม่สบายใจเรียกว่าทุกข์ได้ชื่อว่าทุกข์ แก่ เจ็บ ตาย ได้ชื่อว่าทุกข์ ความพลัดพรากไม่ได้ดั่งใจหมายชื่อว่าทุกข์แต่ตัวที่แสดงออกถึงความทุกข์คือธาตุสี่ขันธ์ห้าอายตานะหก มันก็อยู่ในอริยสัจข้อเดียวข้อที่หนึ่งเหตุอยู่ที่ไหนเราก็ไล่ไป
ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
การท่องธาตุกรรมฐานสี่มันมีความลึกซึ้งกว่าการที่เราจะรู้ว่าร่างกายของเราคือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันมีความหมายของการท่องอยู่ ทําไมที่พระอาจารย์ต้องให้ท่อง มันมีสิ่งที่เราอาจจะยังคาดคิดไม่ถึงว่าเราจะได้อะไรจากตรงนั้น แต่พระอาจารย์จะบอกว่ามันจะได้ พระพุทธองค์ตรัสว่าการที่เราเจริญสติเป็นไปในกายแล้วก็กายคตาสติเนี่ย มันเป็นส่วนหนึ่งที่จะปิดทางหรือว่าเป็นการปิดช่องไม่ให้เปิดช่องทางให้กับพระองค์ใช้คําว่ามารย่อมไม่ได้ช่อง ในการที่จะควบคุมเราปกติมารเนี่ยเขาจะมีสัญญาณของการควบคุมเราให้ตกอยู่ภายใต้อํานาจของมัน มารนี่คือเป็นผู้ขว้างหรือผู้ทําลายเราจากคุณงามความดีหรือมรรคผลนิพพาน เพราะเขาจะพยายามขวางทุกทางที่ไม่ให้เราไปสู่พระนิพพาน เราอาจจะได้ยินประวัติที่พระพุทธองค์เผชิญกับมารในหลายครั้งหลายคราว ไม่ใช่เพียงแค่คราวตรัสรู้เท่านั้นแม้หลังจากตรัสรู้แล้วพระองค์ก็ยังเจอมารตามรังความอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็ไม่สามารถรังควานพุทธองค์ได้อีก แต่สุดท้ายแล้วการทูลขอปรินิพพานของพระองค์ในช่วงอายุ ๘๐ ปีก็เป็นฝีมือของมารส่วนหนึ่ง ที่ทําให้พระองค์ไม่ทรงพระชนม์อยู่เกินกว่า ๘๐ ปีใช่ไหม อันนั้นก็คือส่วนหนึ่งฉะนั้นมารมีบทบาทมากที่ส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมของพวกเรา พระองค์จึงบอกว่าการเจริญกายยาคตาสติเนี้ยจะปิดช่องทางของมารในส่วนหนึ่ง การท่องธาตุกรรมฐานสี่มันเป็นการระลึกถึงบทกายาคตาสติแม้จะเป็นการระลึกถึงบทกายสติของการท่อง แต่ก็ยังส่งผลและมีอานิสงส์และเกิดอานุภาพในการปิดช่องทางของมารอีกด้วย พอท่องได้แล้วก็ไปสู่การพิจารณาร่างกายเพราะฉะนั้นสิ่งที่พระอาจารย์บอกให้ทํามันมีความหมายจริงๆว่าเราจะต้องทําตรงนั้นจริงๆ บุคคลขอก้าวข้ามไปเลยได้ไหมมันก็มีคนที่ก้าวข้ามไป แต่สุดท้ายพระอาจารย์ก็ยังต้องดึงกลับมาสู่การท่องธาตุอยู่อีกเหมือนเดิมอย่างเงี้ยเพราะมันคือส่วนสําคัญจริงๆละเลยไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ถูกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีก่อกวนอยู่ในร่างกาย การท่องธาตุกรรมฐานสี่ยิ่งเป็นความจําเป็นเพราะเขาจะได้รับการแก้ไขด้วยการพร่องบนธาตุกรรมฐานสี่นั้นนะแล้ว แล้วก็จะรู้ด้วยตัวเขาเอาเองว่าตัวของเขาเนี่ยได้รับการแก้ไขจากการท่องธาตุกรรมฐานสี่ในวิถีที่ถูกก่อกวนและเบียดเบียนจากอํานาจชั่วร้ายอํานาจชั้นต่ำ อํานาจไม่หวังดี บางอย่างที่เขาได้รับผลกระทบแม้แต่คําสาปแช่งของบางคนที่เขาไม่ได้ชอบหรือเป็นคู่เวรกันกับเราแล้วทําพิธีสาปแช่งเราเนี่ย การท่องธาตุกรรมฐานสี่สามารถที่จะมาทำลายคําสาปแช่งอันนั้นคลายออกไปได้ด้วยและไม่ตกถึงเรา เพราะว่าแต่ละคนมีคู่เวรมายังไงก็ไม่ทราบในวัฏฏะใช่ไหมล่ะ ก็อาจจะทํากันมาหนักหน่วงพอสมควร พระอาจารย์ก็ยังโดนคําสาปแช่งยังโดนจากคณะสงฆ์ก็ทําพิธีกรรมซะอย่างใหญ่เลย เผาพริกเผาเกลือด้วยขนาดนั้น ก็ไม่นึกว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบุคคลผู้ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยังมีพฤติกรรมอย่างนี้กับพระภิกษุสงฆ์ด้วยกันเองมันคืออะไร ศาสนาเราหล่อเลี้ยงคนแบบเนี้ยไว้เยอะนะ แล้วโครงสร้างของศาสนาแล้วเรา ระบบของศาสนาทําให้คนแบบนี้อยู่ในศาสนาได้ดีจริงนี่คือความจริงนะที่พระอาจารย์ประสบมาอะ
ขันธ์ ๕ มันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ หรือเป็นที่แสดงออกของความทุกข์ เพราะความทุกข์มันจะไม่สามารถแสดงออกผ่านสิ่งอื่นใดได้เลยนอกจากขันธ์ห้า ฉะนั้นขันห้าที่จะต้องแสดงความทุกข์ผ่านกายหรือผ่านใจออกมา จึงทําให้ความทุกข์นี้ปรากฏ ขันธ์ห้าซึ่งเป็นสมมุติ ถูกต้อง เพราะว่าขันธ์ห้าเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงคือเกิดแล้วดับไป มีแล้วหายไป ตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมสิ้นไป อันนี้ก็คือเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ปรมัตถ์ของขันธ์ห้าก็คือความที่ขันธ์ห้านี้เป็นเพียงแค่สภาพการของเหตุปัจจัยที่ประกอบปรุงแต่งกันขึ้น คําว่าปรมัตถ์ก็คือไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนในขันธ์ห้านั้น มันมีแต่ขันธ์ห้า แต่บุคคลในขันห้าไม่มี ธาตุสี่มี ดินน้ําไฟลมมี เวทนาสัญญาณสังขารวิญญาณมี ความรู้สึกใดก็ตามสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุข มีทุกข์บ้าง การจํา การคิด และการรับรู้ มี แต่บุคคลในดินน้ําไฟลม บุคคลในสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ในการจําในการคิดและการรับรู้ บุคคลเหล่านี้ไม่มี ความไม่มีสัตย์บุคคลตัวตนเหล่านี้เรียกว่าปรมัตถ์ของขันธ์ห้า แต่ขันธ์ห้ามี ฉะนั้นความที่เรายึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าบุคคลนั้น บุคคลนี้เป็นความเห็นผิด เป็นวิชานิติจัดอยู่ในชั้นของสังโยชน์ ส่วน ขันธ์ห้าที่เรียกว่าเป็นทุกข์นี้ เพียงแค่เราไม่ใช้ปัญหากับทุกข์ ก็จะไม่มีทุกข์ใหม่จากความทุกข์เดิมนั้น แต่ยังไม่สามารถทําลายเหตุปัจจัยของการก่อตัวในการกําเนิดขึ้นของขันธ์ห้าในวัฏฏะคือการเวียนว่าตายเกิดในภพชาติ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจขันธ์ห้าอย่างถ่องแท้จนเกิดอริยมากขึ้น ต้องเกิดอริยมรรค บางคนรู้ปรมัตถ์ของขันธ์ห้า อย่างไรก็ตาม รู้ไปทางถึงชั้นเขาเรียกว่าความว่างเปล่า ว่างแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าไม่เกิดอริยมรรค ความว่างก็เป็นเพียงแค่ภาวะอันหนึ่ง หรือว่าอารามนะอันหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่อริยมรรค อริยมรรคคืออริยมรรคที่จะเกิดจากการเข้าใจอริยสัจในตัวขันธ์ห้า เมื่อเข้าใจอริยสัจในตัวขันธ์ห้าอย่างถูกต้องชัดเจน อริยมรรคถึงจะเกิดขึ้นทางด้านการปฏิบัติ และเมื่ออริยมรรคเกิดขึ้นแล้ว อริยมรรคจะไปทําลาย อวิชชาคือความเห็นผิดถึงจะสามารถยุติและทําลายขันธ์ห้าได้
ทำแบบทดสอบการเรียนรู้