หลักสูตรการเรียนรู้เรื่อง มรรค ๘ คือหนทางแห่งการดับทุกข์
โครงการธรรมะออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้
หลักสูตรการเรียนรู้เรื่อง มรรค ๘ คือหนทางแห่งการดับทุกข์
มรรค ๘ หรือ หนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ ๘ ประการ มีความหมาย และรายละเอียดดังนี้
แต่ก่อนที่เราจะได้เข้าสู่เนื้อหาของมรรค ๘ นั้น เราจำเป็นต้องทราบก่อนว่า มรรค ๘ นั้นเป็นข้อหนึ่งในอริยสัจ ๔ ดังต่อไปนี้ อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ ๘ ประการ หรือ ความจริง ๔ ประการอันทำให้บุคคลผู้เห็นเป็นผู้ประเสริฐ อริยสัจ ๔ คือความจริงที่มีอยู่คู่โลกแต่ไม่มีใครเห็นจนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้คือรู้และ เห็น แล้วทรงชี้ให้เราดู ได้แก่
๑.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจต่าง ๆ
๒. สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ด้วยการทำใจให้หยุดนิ่ง
๔. มรรค คือ วิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่ความดับทุกข์
ถ้าจะเปรียบกับโรค
ทุกข์ เปรียบเหมือน สภาพที่ป่วยเป็นโรค
สมุทัย เปรียบเหมือน ตัวเชื้อโรค
นิโรธ เปรียบเหมือน สภาพที่หายจากโรค แข็งแรงแล้ว
มรรค เปรียบเหมือน ยารักษาโรคให้หายป่วย
ทุกคนในโลกนี้ ล้วนแต่มีความทุกข์กันทั้งนั้น เหมือนคนป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจากสาเหตุอะไร จะแก้ไขรักษาให้หายป่วยหายทุกข์ได้อย่างไร
การศึกษาให้เข้าใจในเรื่องอริยสัจ 4 จึงเป็นหนทางที่จะทำให้เรารู้จักทุกข์พร้อมทั้งสาเหตุที่มาและวิธีปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ จนสามารถดับทุกข์ที่มีอยู่ได้อย่างแท้จริง แต่ในบทนี้เราจะมาศึกษากันเฉพาะในเรื่องของ มรรค ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่ความดับทุกข์เท่านั้นดังต่อไปนี้
๑. ความหมาย
พระศาสดาของศาสนาต่าง ๆ ย่อมจะแสดงให้ศาสนิกชนของตนได้รู้ไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่นับถือศาสนาของท่านจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดตามที่ศาสนานั้น ๆ กำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น
ศาสนาคริสต์ มีบัญญัติ 10 ประการ เป็นทางดำเนินชีวิต
ศาสนาอิสลาม มีรุก่นอิสลาม 5 ประการ เป็นทางดำเนินชีวิต
ศาสนาฮินดู มีสันสการ 16 ข้อ เป็นทางดำเนินชีวิต
ในศาสนาพุทธของเรา พระบรมศาสดาก็ทรงสอนทางดำเนินชีวิตไว้ให้แล้วเหมือนกัน คือ มรรค ๘
มรรค แปลว่า ทาง หมายถึงทางปฏิบัติ หรือทางดำเนินชีวิต ซึ่งมีทั้งหมด ๘ ประการ เรียกว่า มรรค ๘ หรือมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งก็คือ หนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ ๘ ประการนั่นเอง
มรรค ๘ นี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ อีกหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
"ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทา" แปลว่า ปฏิปทาอันยังผู้ปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์หมายความว่า เป็นทางสายเดียวที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงนิพพาน หรือถึงนิโรธ อันเป็นความดับทุกข์อย่างสนิท พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุถึงนิพพานก็ด้วยทางสายนี้ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ปฏิบัติตามทางสายนี้จึงบรรลุนิพพาน
"มัชฌิมา ปฏิปทา" แปลว่า ทางสายกลาง หมายความว่า ทางปฏิบัติของบรรดาเจ้าลัทธิอื่น ๆ เมื่อว่าโดยย่อแล้วมีอยู่ ๒ แบบ คือ แบบกามสุขัลลิกานุโยค (การประกอบตนให้มัวเมาอยู่ในกาม) กับแบบอัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตนให้ได้รับความลำบากเกินไป) พวกแรกหย่อนยานเกินไป พวกหลังตึงเกินไปส่วนมรรค ๘ นี้ เป็นข้อปฏิบัติที่พอเหมาะ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป จึงเรียกว่า ทางสายกลาง
"อัฏฐังคิกมรรค" แปลว่า มรรคมีองค์แปด หมายความว่า เป็นข้อที่ต้องปฏิบัติควบกัน ๘ ข้อ
"อริยมรรค" แปลว่า ทางอันประเสริฐ ทางของพระอริยะ ทางไปสู่ความเป็นอริยชน คือข้อปฏิบัติทั้ง ๘ นี้ ผู้ใดได้อย่างสมบูรณ์ จิตใจของผู้นั้นจะหมดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เปลี่ยนภาพจากปุถุชน (คนกิเลสหนา) เป็นอริยชน (คนประเสริฐ) เช่นดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างสูงที่สุดในพระพุทธศาสนา โดยพระองค์ถึงกับตรัสว่า "ธรรมะทั้งหลายที่เราสั่งสอนนั้นประชุมรวมกันในมรรคมีองค์ ๘ และยังตรัสย้ำอีกด้วยว่า "มรรคมีองค์ ๘ เป็นเส้นทางการตรัสรู้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อนได้เคยตรัสรู้มาแล้ว"
คำว่ามรรค แปลว่าทาง ในที่นี้หมายถึงทางเดินของใจ เป็นการเดินจากความทุกข์ไปสู่ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งมนุษย์หลงยึดถือและประกอบขึ้นใส่ตนด้วย อำนาจของอวิชชา
มรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่างดุจเชือกฟั่นแปดเกลียว องค์แปดคือ :-
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดชอบ
๓. สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ
๔.สัมมากัมมันตะ คือ ประพฤติชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ คื อเลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ คื อความเพียรชอบ
๗. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ คือ จิตตั้งมั่นชอบ
การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นรวมกันแล้วเหลือเพียง ๓ คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา สรุปสั้น ๆ ก็คือ การปฏิบัติธรรม(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)ก็คือการเดินตามมรรค คำว่า "ชอบ" ในที่นี้มิได้หมายความว่า ชอบใจพอใจ แต่หมายความว่า ถูกต้องไม่ผิดพลาด เหมือนคำว่า เห็นชอบ มิได้หมายความว่า เห็นแล้วก็ชอบใจ แต่หมายความว่าเห็นถูกต้องไม่ผิดพลาด ข้ออื่น ๆ ก็มีความหมายอย่างนี้เหมือนกัน ดังจะได้อธิบายต่อไป
รายละเอียดของมรรคทั้ง ๘ ประการ
๑. สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกต้อง ย่อมต้องการใช้ในกิจการทั่วไปทุกประเภททั้งทางโลกและทางธรรม แต่สำหรับฝ่ายธรรมชั้นสูงอันเกี่ยวกับการเห็นทุกข์หรืออาสวะซึ่งจัดเป็นการเห็นอริยสัจ คือ
๑. ความรู้ในทุกข์ (ขันธ์๕)
๒. ความรู้ในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดของทุกข์)
๓. ความรู้ในทุกขนิโรธ (เหตุดับไม่เหลือของทุกข์)
๔. ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางดำเนินให้ดับไม่เหลือ)
นั้นย่อมต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นพิเศษ ความเข้าใจถูกต้องคือต้องเข้าใจอย่างทั่วถึงว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไร อย่างหยาบๆ ที่ปรากฎชัดๆ เป็นอย่างไรอย่างละเอียดที่แอบแฝงเป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของทุกข์มีภาวะอย่างไร มีลำดับอย่างไร ทางให้ถึงความดับทุกข์คืออะไร เดินให้ถึงได้อย่างไร สัมมาทิฏฐิมีทั้งที่เป็นโลกิยะคือของบุคคลที่ต้องขวนขวายปฏิบัติก้าวหน้าอยู่และสัมมาทิฎฐิที่เป็นโลกกุตตระ คือของพระอริยบุคคลต้นๆ ส่วนของพระอรหันต์นั้นเรียกเป็นวิชชาไป
และไม่เรียกว่าองค์แห่งมรรค เพราะท่านถึงที่สุดแล้ว
๒. สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ดำริชอบ (คิดชอบ) คือ
๑. ความดำริ ออกจากกาม (เนกขัมมวิตก) คิดที่จะบำเพ็ญทาน รักษาศีล คิดที่จะออกบรรพชา
๒. ความดำริในความ ไม่พยาบาท (อพยาบาทวิตก) คิดไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรใคร
๓. ความดำริในอัน ไม่เบียดเบียน (อวิหิงสาวิตก) เป็นต้นว่า คิดที่จะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ถ้าจะว่าโดยความหมายเบื้องสูงแล้วสัมมาสังกัปปะ หมายถึงความคิดมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์
๓. สัมมาวาจา หมายถึง การกล่าววจีสุจริต 4 คือปราศจาก
๑. มุสาวาท ได้แก่ การพูดเท็จ
๒. ปิสุณาวาจา ได้แก่ การพูดส่อเสียด
๓. ผรุสวาจา ได้แก่ การพูดคำหยาบ
๔. สัมผัปปลาปะ ได้แก่ การพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
๔.สัมมากัมมันตะ หมายถึง กายสุจริต ๓ คือการประพฤติดี ประพฤติชอบด้วยกาย ๓ ประการ คือ
๑. งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับปาณาติบาต หรือการปลงชีวิต การฆ่า การประทุษร้ายกัน
๒. งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับอทินนาทาน หรือการลัก การโกง การละเมิดสิทธิ์ตลอดจนการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น
๓. งดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับกาเมสุมิจฉาจาร หรือการละเมิดสิ่งที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน เช่น ภรรยาสามี และบุตรธิดา เป็นต้น นอกจากนี้ จะต้องไม่ซ่องเสพสุราเมรัย ตลอดจนสิ่งเสพติดต่าง ๆ อีกด้วย
๕.สัมมาอาชีวะ หมายถึง การเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมปราศจากมิจฉาชีพ และกระทำการโกหกมายาเพื่อเลี้ยงชีพ เกี่ยวกับเรื่องสัมมาอาชีวะนี้ ยังมีพระธรรมเทศนาปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่ง เป็นต้นว่า ในสามัญญผลสูตรทรงมีพระดำรัสเทศนา มีประเด็นสำคัญว่า พระภิกษุควรเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ด้วยการเป็นหมอดู เป็นนักพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นผู้ประกอบพิธีแก้บนสะเดาะเคราะห์ ทำนายฝัน เป็นต้น เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นดิรัจฉานวิชา นอกจากนี้ยังทรงห้ามเรื่องการปรุงยา และการประกอบอาชีพ แพทย์อีกด้วยส่วนในวณิชชสูตรนั้นทรงมีพระดำรัสเทศนาห้ามพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาส มิให้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับธุรกิจ 5 อย่าง คือ
๑. การค้าขายศาสตราวุธ
๒. การค้าขายมนุษย์
๓. การค้าขายสัตว์
๔. การค้าขายน้ำเมา
ค. การค้าขายยาพิษ
๖.สัมมาวายามะ คือสัมมัปปธาน หรือความเพียร ๔ ประการ ได้แก่
๑. สังวรปธาน - ความเพียรเพื่อที่จะละอกุศลธรรมที่ตนเคยกระทำ
๒. ปหานปธาน - ความเพียรเพื่อที่จะมิให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
๓. ภาวนาปธาน - ความเพียรบำเพ็ญกุศลธรรมที่ตนยังไม่เคยบำเพ็ญมาก่อน
๔. อนุรักขนาปธาน - ความเพียรบำเพ็ญกุศลธรรมที่ตนเคยบำเพ็ญให้เพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
๗.สัมมาสติ ความหมายโดยเบื้องสูง หมายถึงการบำเพ็ญสติปัฏฐาน อันได้แก่ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตาม ภาวะที่สิ่งนั้นเป็นอยู่ตามปกติ มี ๔ ประการ คือ
๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนือง ๆ ได้แก่ การพิจารณาเห็นกายต่าง ๆ ซึ่งซ้อนกันอยู่ภายในกายมนุษย์นี้ นับตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด หรือกายฝันจนกระทั่งถึงกายธรรมระดับต่าง ๆ
๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นเวทนาทั้งภายในและภายนอกอยู่เนือง ๆ หมายถึงการเห็นสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ของกายในกายที่ซ้อนกันอยู่ เวทนาภายนอกคือเวทนาของกายมนุษย์ เวทนาภายในคือเวทนาของกายภายในตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดเข้าไปตามลำดับ
๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอกอยู่เนือง ๆ หมายถึงการรู้ชัดถึง ภาวะจิตตลอดเวลา เช่น ถ้าจิตระคนด้วยราคะ หรือโทสะ หรือโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตระคนด้วยกิเล อย่างใด หรือถ้าจิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตหลุดพ้น ไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าไม่หลุดพ้น จิตภายนอกคือจิตของกายมนุษย์ส่วนจิตภายใน คือจิตของกายภายใน นับแต่กายมนุษย์ละเอียดเป็นต้น
๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นธรรมภายในและภายนอกอยู่เนือง ๆ การพิจารณาเห็นธรรมภายนอก ได้แก่ การพิจารณาให้เห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบส่วนการพิจารณาเห็นธรรมภายในนั้น หมายถึงพิจารณาให้เห็นดวงธรรมที่ทำให้ เป็นกายภายในต่าง ๆ นับตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ
สำหรับความหมายในเบื้องต่ำสัมมาสติ หมายถึง สติที่ระลึกนึกคิดในการบุญ เป็นต้นว่า คิดที่จะบำเพ็ญทาน รักษาศีล ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึกถึงผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูอาจารย์ เป็นต้น
๘. สัมมาสมาธิ หมายถึง การเจริญอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ อุปจารสมาธิ คือ จิตตั้งมั่นในที่ใกล้จะได้สำเร็จฌานส่วนอัปปนาสมาธิ คือองค์สมาบัติมี ปฐมฌาน เป็นลำดับต้นมี จตุตถฌาน เป็นลำดับสูง
สำหรับความหมายในเบื้องต่ำ หมายถึงความตั้งใจแน่วแน่ไม่ย่อหย่อนแห่งจิตในขณะบำเพ็ญทาน รักษา ศีล เจริญภาวนา ดับฟังพระธรรมเทศนาความแน่วแน่แห่งจิตในขณะบำเพ็ญกุศลธรรมดังกล่าวแต่ละขณะ จัดเป็นขณิกสมาธิจึงถือเป็นสัมมาสมาธิด้วย
พระพุทธเจ้าทรงจัดสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เข้าในสีลขันธ์ ทรงจัดสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ทรงจัดเข้าในสมาธิขันธ์ และทรงจัด สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ เข้าในเป็นปัญญาขันธ์ มรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นอริยสัจจ์ ข้อที่ ๔ และได้ ชื่อว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า “ทางสายกลาง” เพราะเป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมาย แห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสอง คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค
สรุป
องค์มรรคบางองค์ เป็นส่วนหยาบและสะสมขึ้นในตัวเราได้โดยง่ายคือ สัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศลเจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับมรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิกอยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกันเป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วนองค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่า จะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคีพร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรมยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
บทการเรียนรู้โดย
ท่านพระครูปลัดวรชาติ เตชธมฺโม
กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ด้านการศึกษา
โครงการธรรมะออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้