นางกาญจน์จุรี หมีดหรน
ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน
แผนการจัดการเรียนรู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ตารางเรียน ตารางสอน class schedule, teaching schedule
โรงเรียนมาตรฐานสากล World - Class Standard School และโรงเรียนคุณภาพ Quality School
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและบริการโสตทัศนูปกรณ์ Information Technology and Audiovisual Services Center.
วิธีการดึงข้อสอบจากไฟล์ word ไปใส่บน google form
งานทะเบียน Registration งานแนะแนว Guidance work
แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์สำหรับครูผู้สอนและนักเรียนระดับมัธยมศึกษา (ม.1-6)
Thai MOOC ห้องเรียน TruePlookpanya Chula MOOC TED-Ed
Project 14 Learn Anywhere Udemy DLIT Resources ศูนย์การเรียนรู้สยามวิชาลัย
1. ทักษะการคิดพื้นฐาน หมายถึงทักษะการคิดที่ใช้เป็นพื้นฐานในการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการฟัง การจำ การพูด การอธิบาย การเขียน การสื่อสาร เป็นต้น เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคน เพราะต้องใช้เป็นพื้นฐานในการสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน
2. ทักษะการคิดทั่วไป (ทักษะการคิดที่เป็นแกน) หมายถึงทักษะที่ใช้กันบ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการสังเกต การคิดคล่อง การคิดหลากหลาย การตั้งคำถาม การรวบรวบรวมข้อมูล การจัดประเภท การจัดลำดับ การเปรียบเทียบ การเชื่อมโยง การแปลความ การตีความ การสรุปความ
3. ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking Skills: HOTS) หมายถึงทักษะการคิดที่มีความซับซ้อน มีกระบวนการหรือขั้นตอนในการคิดมากและซับซ้อนขึ้น เพื่อให้ได้คำตอบหรือบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหาต่าง ๆ (ราชบัณฑิตยสภา, 2558, หน้า 238) ส่วนใหญ่จะต้องใช้ทักษะการคิดทั่วไปหลายทักษะผสมผสานกัน เป็นทักษะที่ส่งผลต่อความสามารถในการกระทำ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ ทักษะการคิดขั้นสูงมีหลายทักษะ เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา การคิดเชิงระบบ ทักษะการนิยาม การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประยุกต์ การสร้าง การจัดระบบ การหาแบบแผน การพิสูจน์ การทำนาย เป็นต้น
การบริหารการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนด้วยวินัยเชิงบวก
การบริหารการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนด้วยวินัยเชิงบวก (Positive Discipline) เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี และเสริมสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในนักเรียนโดยไม่ใช้การลงโทษหรือการวิจารณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบหลักการสำคัญของวินัยเชิงบวกมีดังนี้:
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี: คุณครูและนักเรียนควรมีความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกัน ครูควรแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: นักเรียนควรทราบถึงความคาดหวังในพฤติกรรมและผลการเรียนรู้ของตน โดยเป้าหมายที่ตั้งขึ้นควรเป็นไปได้และส่งเสริมให้พวกเขาพัฒนาตนเอง
การเสริมแรงเชิงบวก: การให้คำชมเชยและการยกย่องเมื่อเห็นนักเรียนทำสิ่งที่ถูกต้องจะช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีและความมั่นใจในตนเอง
การให้โอกาสในการเรียนรู้จากความผิดพลาด: แทนที่จะลงโทษนักเรียนเมื่อทำผิด ควรให้โอกาสนักเรียนได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงตนเอง
การจัดการกับปัญหาอย่างสร้างสรรค์: การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนควรมุ่งเน้นการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยการใช้วิธีการเจรจาและการทำความเข้าใจในปัญหา
การนำวินัยเชิงบวกมาใช้ในชั้นเรียนจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ นักเรียนจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกถึงตัวตนของตนเองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ไปพร้อมกับการเรียนรู้ทางวิชาการ
การสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline)
หมายถึง การอบรมสั่งสอน และ การปลูกฝังวินัย เพื่อให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม และเคารพกฎระเบียบในสังคม โดยการเน้นที่พฤติกรรมที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ และพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และสังคมของเด็ก เป็นสำคัญ
การสร้างวินัยเชิงบวก เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก กล่าวถึงเด็กจะรับรู้สิ่งที่เราสื่อสารได้ดีเมื่อเราตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของเด็กก่อน แล้วสมองของเด็กจึงจะเปิดรับสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร และเด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เราสื่อสารได้ดีเมื่อเราสร้างและรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กก่อน แล้วสมองของเด็กจะพร้อมทำความเข้าใจ เทคนิคของการสร้างวินัยเชิงบวก
1.ควรชมเชยนักเรียนแบบเฉพาะเจาะจงตามสมควร เพื่อให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ
2.ในการพูดคุยกับนักเรียน ครูผู้สอนควรยืนในระดับสายตากับนักเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกได้รับความใส่ใจ มีคุณค่าและเชื่อใจ
3.เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือกในเชิงบวก โดยไม่ใช้การสั่งหรือการบังคับ เช่น มีข้อเสนอให้นักเรียนเลือกว่า จะให้จัดสอบหรือจะทำรายงานมาส่งเก็บคะแนน ซึ่งสิ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง
4.ใช้วิธีการเบี่ยงเบนพฤติกรรมแทนการสั่งให้หยุดหรือห้าม เช่น นักเรียนบางคนที่ชอบเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ก็อาจเปลี่ยนที่นั่งให้ใกล้ชิดคุณครูหรือให้ห่าง จากหน้าต่างแทนการไปดุต่อว่านักเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความรู้สึกต่อต้านได้
5.ควรให้ความสำคัญกับนักเรียนทุกคน ในฐานะเขาเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียน เขาควรมีสิทธิ์ในการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับชั้นเรียนและควรมอบหมายหน้าที่ให้เขาดูแลตามสมควร
6.ใช้โทนเสียงปกติในการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ตะโกนใส่ ซึ่งจะทำให้ชั้นเรียนมีความสัมพันธ์ที่ดี นักเรียนก็พร้อมที่จะตั้งใจฟังครู และพฤติกรรมที่ดีของครูก็จะเป็นแบบอย่าง ที่ดีของนักเรียนต่อไป เพราะไม่มีใครชอบคนที่ตะโกนใส่ตัวเอง ดังนั้นจึงควรพูดคุยกับเด็กด้วยโทนเสียงปกติ
7.สอนให้เด็กรู้จักเลือกที่จะทำอะไรก่อนและหลัง
8.กำหนดเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชั้นเรียน และกำชับให้นักเรียนคำนึงถึงการรักษาเวลาอยู่เสมอ
9.ครูควรมีโอกาสบอกความรู้สึกของตัวเองกับนักเรียน ถึงสิ่งที่นักเรียนกำลังกระทำอยู่ว่า ครูชอบและชื่นชมในสิ่งที่เขาทำดี หรือรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมไม่ดีของเขา ซึ่งจะทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกการกระทำของเขาส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่น
10.ส่งเสริมให้นักเรียนทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความแตกต่าง และแม้จะคนเดียวกัน แต่ในแต่ละวันก็มีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน เราจึงควรสอนให้นักเรียนรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะได้จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเหมาะสม คือสามารถกำกับตัวเองได้นั่นเอง การใช้คำพูดเป็นกุญแจสำคัญของการสร้างวินัยเชิงบวก จากเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกจะเห็นได้ว่า เป็นวิธีที่ส่งเสริมให้ครูได้ใช้วิธีการเพื่อการสอนมากกว่าการสั่ง ซึ่งคีย์เวิร์ดที่สำคัญในเรื่องของการสร้างวินัยเชิงบวกนี้คือ เรื่องของการเลือกใช้คำ โดย ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ได้บอกถึงแนวทางในการตรวจสอบคำพูดของตัวเองว่า ช่วยให้นักเรียนมีวินัยเชิงลบหรือเชิงบวกหรือไม่ ได้แก่
1.คำพูดนั้น เป็นการสั่ง หรือ การสอน การสั่งคือ การบังคับให้ทำ ส่วนการสอนคือการบอกและส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำด้วยตัวเอง ซึ่งการสอนนั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักเรียนได้ดีกว่าการสั่งหรือการบังคับ
2.คำพูดนั้น เป็นสิ่งที่พูดถึงอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เราควรจะพูดถึงพฤติกรรมของนักเรียนในเรื่องของปัจจุบัน ไม่ควรจะยกเรื่องในอดีตหรืออนาคตมากล่าวถึง เช่น เราพบว่านักเรียนหลับระหว่างเรียนหนังสือ เราควรจะพูดคุยกับเขาเฉพาะพฤติกรรมดังกล่าว และไม่ควรต่อว่าเด็กถึงการมาสายของเด็กเมื่อหลายวันก่อน หรือพูดถึงเรื่องที่เราคิดว่าเขาจะทำ แต่เขายังไม่ได้ทำ เป็นต้น
3.คำพูดนั้น เข้าใจยากหรือง่ายสำหรับนักเรียนหรือไม่ นักเรียนแต่ละระดับ มีระดับความเข้าใจในการสื่อสารแตกต่างกัน การเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
4.คำพูดลักษณะของคำพูด ควรเปลี่ยนจาก “ห้าม ไม่ อย่า หยุด” ซึ่งเป็นคำที่ทำให้สมองต้องประมวลผล 2 รอบ ให้เป็นการบอกสิ่งที่ต้องการให้ทำไปตรงๆ เช่น แทนที่จะบอกว่า “อย่าวิ่ง” ให้เปลี่ยนเป็น “ค่อยๆ เดิน” เป็นต้น
งานนิเทศภายใน Internal supervision work (Planning Actions Observing Reflection Digital : PAORD)
การนิเทศ กำกับติดตามโดยผู้บริหาร 20 + 6
1.ครูเข้าสอนและออกตรงเวลา
2.ครูมีบุคลิกภาพ การแต่งกายและการพูดจาเหมาะสม
3.ครูแจ้งมาตรฐาน ตัวชี้ว้ด หรือผลการเรียนรู้ก่อนสอนชัดเจน
4.กิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับมาตรฐาน ตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้
5.เนื้อหาที่สอนทันสมัยนำไปใช้ได้จริง
6.การจัดบรรยากาศห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนการสอน
7.ครูใช้วิธีการสอนและใช้สื่ออย่างหลากหลาย
8.ครูส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม และรายบุคคล
9.ครูส่งเสริมกระตุ้นให้นักเรียนมีความคิดขั้นสูง เช่น วิเคราะห์ สร้างสรรค์ ประเมินค่า คิดเป็นกระบวนการ คิดเชื่องโยงสัมพันธ์ เป็นต้น
10.กิจกรรมการเรียนสนุกและน่าสนใจ
11.ครูให้โอกาสนักเรียนซักถามปัญหา
12.ครูตั้งคำถามและให้นักเรียนตอบเป็นรายคน
13.ครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน
14.ครูให้ความสนใจแก่นักเรียนอย่างทั่วถึงขณะสอน
15.ครูส่งเสริมให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีดิจิตอล เรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ
16.ครูตั้งใจสอน ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกแก่นักเรียนในการทำกิจกรรม
17.นักเรียนทราบเกณฑ์การประเมินผลล่วงหน้า
18.นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียน
19.ครูมีการเสริมสร้างวินัยเชิงบวก เช่น ชมเชย พูดคุยอย่างอบอุ่น เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือก ให้ความสำคัญกับทุกคน เป็นต้น
20.นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข
ขั้นตอนารปฏิบัติของครูตั้งแต่เริ่มเข้าชั้นเรียน จนออกจากชั้นเรียน
1.การทักทายนักเรียน (หลังจากนักเรียนแสดงความเคารพ)
2.ให้นักเรียน เปิดไฟ เปิดพัดลม จัดส่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยของสถานที่เรียน
3.ให้นักเรียนทำความสะอาดและจัดระเบียบห้องเรียน สถานที่เรียน
4.จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5.หลังสอนให้นักเรียนทำความสะอาดและจัดระเบียบห้องเรียน สถานที่เรียน ปิดไฟ ปิดพัดลม จัดเก็บอุปกรณ์ อีกครั้ง
6.นัดหมาย กล่าวลา
งานหลักสูตร Course work คู่มือหลักสูตรฐานสมรรถนะ Competency Base Course Guide
ยุทธศาสตร์ที่ 5 คุณภาพชีวิตกับสิ่งแวดล้อม Strategy 5: Quality of Life and the Environment
I-classroom Online PLC Coaching- I Classroom กลุ่มภาคใต้
สรุปความเข้าใจหลักสูตรฐานสมรรถนะ Summary of Understanding of Competency-Based Curriculum
งานวัดผล Evaluation ระบบรายงานผลการเรียนออนไลน์ Online academic reporting system
การสร้างระบบแจ้งผลการเรียนออนไลน์
ตัวชี้วัดระหว่างทางและตัวชี้วัดปลายทาง ตามหลักสูตรแกนกลางฯ 2551 และแนวทางการวัดและประเมินฯ
การเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมี ปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดม สมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทำกรณีศึกษา เป็นต้น โดยกิจกรรมที่น ามาใช้ควรช่วยพัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร/นำเสนอ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม บทบาทของผู้เรียนนอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและผู้เรียนกับ ผู้เรียนด้วยกันด้วย ผู้สอนควรลดบทบาทในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะการบรรยายลง และเพิ่มบทบาท ในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนี้การสอนในรูปแบบ Active Learning กำลังมาแรง ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการสอนที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิด ลงมือทำ ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ เชื่อมโยงความรู้ ทักษะ และเจตคติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาอยากเรียนรู้ และสามารถสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างนิสัยให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ตัวอย่าง 5 รูปแบบการสอน Active Learning ที่ครูต้องใช้ในยุคนี้
รูปแบบการสอนที่ดีนอกจากครบองค์ประกอบของการสอนแบบ Active Learning แล้ว การเลือกรูปแบบการสอนให้เหมาะสมกับเป้าหมาย หรือธรรมชาติการเรียนรู้ของวิชานั้น ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งคุณครูอาจตั้งธงไว้ก่อนว่าจะสอนให้เด็กได้อะไรแล้วค่อยเลือกรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับเป้าหมายนั้น ๆ ซึ่งขอยก 5 รูปแบบการสอน Active Learning มาเป็นไอเดีย เพื่อให้เข้าใจว่าเป้าหมายใด เหมาะกับวิธีการสอนรูปแบบไหน และใช้เมื่อไร?
รูปแบบการสอนที่ 4 : Project Based Learning: PrBL (การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน )
การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้ จะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ และทักษะผ่านกระบวนการศึกษาค้นคว้า และการใช้ความรู้ผ่านกิจกรรม สามารถตั้งต้นได้จากปัญหา สถานการณ์ คำถาม เงื่อนไข หรือข้อจำกัด ความต้องการต่าง ๆ แล้วสร้างเป็นนวัตกรรม หรือชิ้นงาน เพื่อแก้ปัญหา หรือตอบคำถามในเรื่องนั้น ๆ จะใช้รูปแบบการสอนนี้เมื่อเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ ต้องการให้เด็กออกแบบสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ หลักการสำคัญของ PrBL มี 6 ขั้นตอน คือ...
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม เพื่อให้เด็กเข้าใจเป้าหมายของการทำ
ขั้นตอนที่ 2 การกำหนด และเลือกหัวข้อ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละหัวข้อที่จะทำโครงงาน
ขั้นตอนที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน เป็นการสร้างผังมโนทัศน์ (Conceptual Map) หรือแผนที่ ความคิด (Mind Map) ที่แสดงถึงภาพรวมทั้งหมดของโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ
ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติงานโครงงาน เป็นขั้นตอนนำวิธีการตามเค้าโครงของโครงงานมาลงมือทำ
ขั้นตอนที่ 5 การนำเสนอผลงาน จัดทำรายงาน และการนำเสนอผลการปฏิบัติโครงงาน
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินโครงงาน เป็นการประเมินอย่าง ต่อเนื่องด้วยวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ทั้งความรู้ กระบวนการ พฤติกรรมของเด็ก ๆ ผลงาน และสิ่งที่พบเจอในขณะทำโครงงาน
รูปแบบการสอนที่ 5 : การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning : PBL)
เมื่อเรามีเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ อยากสอนให้เด็กสามารถแก้ปัญหาเป็น ดังนั้นรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับตัวชี้วัดนี้ คือ Problem Based Learning เด็กจะเรียนรู้โดยใช้ปัญหาที่ใกล้ตัว และพบเจอในชีวิตประจำวันเป็นตัวนำ หรือเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ เพื่อนำมาสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จัดการกับปัญหาดังกล่าวได้ ขั้นตอนของ PBL
เพราะการเรียนรู้แบบ Active Learning ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ
คุณครูจำเป็นต้องใช้การเรียนการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องไปกับบริบทของเนื้อหา และเป้าหมายที่เด็กจะได้รับ อันจะนำไปสู่การเกิดของ "สมรรถนะ" กับพวกเขาต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://drpiyanan.com/2020/07/29/5e-instructional-model/
คลังข้อสอบออนไลน์ Online quiz library
กลุ่มสาระการเรียนรู้ Learning group