“...อนาคตของชาติทุกชาติย่อมขึ้นอยู่แก่เด็ก เพราะเด็กก็คือผู้ใหญ่ในเวลาข้างหน้าถ้าบุคคลได้รับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีอยู่ในศีลในธรรม เคารพต่อบทกฎหมายของบ้านเมืองเสียตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้น พลเมืองของประเทศก็จะมีแต่คนดี และประเทศ จะเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ก็โดยต้องมีพลเมืองดีดังว่านี้...”
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ในพิธีเปิดศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง
๒๘ มกราคม ๒๔๙๕
คู่มือระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์
รายงานสรุปการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
รายงานสรุปการคัดกรองนักเรียน
บันทึกการให้คำปรึกษาเบื้องต้นโดยครูที่ปรึกษา บก10/2565 ออนไลน์
บันทึกการส่งต่อภายใน บก11/2565 ออนไลน์
รายงานแจ้งผลการช่วยเหลือนักเรียน (จากการส่งต่อบุคลากรภายในโรงเรียน) บก12/2565 ออนไลน์
แบบบันทึกสรุปรายงานผลการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูที่ปรึกษา บก13/2565 ออนไลน์
แบบสรุปผลการคัดกรองและช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล (สำหรับครูที่ปรึกษา) บก14/2565 ออนไลน์
การให้นักเรียนออกจากการเรียนในโรงเรียน ทำได้หรือไม่ อย่างไร?
ตามกฎกระทรวงของประเทศไทย สถานศึกษาของรัฐไม่สามารถไล่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ (ซึ่งมักจะนำไปสู่การแต่งงาน) ออกจากสถานศึกษาได้
สาระสำคัญคือ:
สิทธิในการศึกษา: นักเรียนที่แต่งงานแล้วหรือตั้งครรภ์ยังมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
การจัดระบบดูแล: สถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมและต่อเนื่องแก่นักเรียนกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถเรียนต่อไปได้
ข้อยกเว้น: การให้นักเรียนออกจากสถานศึกษาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการย้ายตามความประสงค์ของตัวนักเรียนเอง
ดังนั้น นักเรียนที่แต่งงานแล้วสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้ และโรงเรียนมีหน้าที่ต้องสนับสนุนให้พวกเขาสามารถเรียนสำเร็จหลักสูตรได้
กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิทางการศึกษาของนักเรียนที่แต่งงานแล้ว หรือนักเรียนที่ตั้งครรภ์ มีดังนี้:
กฎหมายหลัก
พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559
มาตรา 6: เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ โดยระบุให้สถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิในการศึกษาของวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ (ซึ่งมักนำไปสู่การสมรส) ไม่ให้ถูกกีดกันหรือถูกบังคับให้ออกจากสถานศึกษา
กฎกระทรวงและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2566 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2559)
กฎกระทรวงนี้ออกตามความใน พ.ร.บ. ข้างต้น เพื่อวางกรอบการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมของสถานศึกษา
สาระสำคัญ: ห้ามสถานศึกษาไล่นักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ออกจากสถานศึกษา เว้นแต่เป็นการย้ายตามความประสงค์ของนักเรียน นักศึกษาเอง และกำหนดแนวทางให้โรงเรียนต้องจัดรูปแบบการเรียนที่ยืดหยุ่นและเหมาะสม เช่น การเรียนทางเลือก หรือการจัดสวัสดิการที่จำเป็น
กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องโดยอ้อม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย: ให้การรับรองสิทธิพื้นฐานของประชาชนชาวไทยในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ: กำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาและการจัดระบบการศึกษาของชาติ
กฎหมายเหล่านี้ร่วมกันสร้างหลักประกันว่าการแต่งงานหรือการตั้งครรภ์จะไม่เป็นอุปสรรคต่อสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนของรัฐ
ตารางการปฏิบัติหน้าที่เวรประจำวัน
กิจกรรม "เด็กดีรายวัน โรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์" (สพม.สข.สต.)
เด็กดีรายวันประจำเดือน มกราคม 2567
เด็กดีรายวันประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2567
เด็กดีรายวันประจำเดือน มีนาคม 2567
บุหรี่ไฟฟ้า (ELECTRIC CIGARETTE) เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่งซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำ ประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ทั่วไป
ส่วนของน้ำยาที่ถูกทำให้เป็นไอ เข้าสู่ร่างกาย จะมีสารประกอบหลัก คือ
1. นิโคติน เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่
2. โพรไพลีนไกลคอล ทำให้เกิดอาการไอ
3. กลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้น เมื่อผสมกับสารโพรไพลีนไกลคอล ทำให้เกิดอาการไอ
4. สารแต่งกลิ่นและรส เป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่วๆ ไป แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า เมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบแล้ว จะเกิดผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร
สารเคมีต่าง ๆ ที่พบในน้ำยา ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น
นิโคติน กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
• เพิ่ม : ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ
• เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง : มะเร็งปอด ช่องปาก หลอดอาหาร ตับอ่อน
• โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
• กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน
• กระตุ้นจำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
• ในหญิงตั้งครรภ์ นิโคตินส่งผลต่อพัฒนาการ ของสมองทารกในครรภ์ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
• สารนิโคติน ทำให้เกิดการเสพติด ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา
โพรไพลีนไกลคอล / สาร Glycerol/Glycerin
เมื่อสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้พบมากในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง และสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde, Benzene เป็นต้น จากการวิจัยยังพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
เทียบกับบุหรี่ธรรมดาแล้วบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าหรือน้อยกว่า?
ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถถูกสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและยากที่ร่างกายจะขับออกมาได้
บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นของใหม่ ยังไม่มีข้อมูลวิจัยที่มากพอที่จะยืนยันถึงอันตรายของสารเคมีแต่ละตัวในบุหรี่ไฟฟ้า กรณีใช้ไปนานๆ ยังไม่มีข้อมูลว่าอันตราย แต่ไม่ใช่แปลว่าไม่มีอันตราย จะต้องติดตามศึกษากันต่อไปก่อน
การสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline)
หมายถึง การอบรมสั่งสอน และ การปลูกฝังวินัย เพื่อให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม และเคารพกฎระเบียบในสังคม โดยการเน้นที่พฤติกรรมที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ และพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และสังคมของเด็ก เป็นสำคัญ
การสร้างวินัยเชิงบวก เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก กล่าวถึงเด็กจะรับรู้สิ่งที่เราสื่อสารได้ดีเมื่อเราตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของเด็กก่อน แล้วสมองของเด็กจึงจะเปิดรับสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร และเด็กจะเรียนรู้สิ่งที่เราสื่อสารได้ดีเมื่อเราสร้างและรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กก่อน แล้วสมองของเด็กจะพร้อมทำความเข้าใจ เทคนิคของการสร้างวินัยเชิงบวก
1.ควรชมเชยนักเรียนแบบเฉพาะเจาะจงตามสมควร เพื่อให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ
2.ในการพูดคุยกับนักเรียน ครูผู้สอนควรยืนในระดับสายตากับนักเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกได้รับความใส่ใจ มีคุณค่าและเชื่อใจ
3.เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือกในเชิงบวก โดยไม่ใช้การสั่งหรือการบังคับ เช่น มีข้อเสนอให้นักเรียนเลือกว่า จะให้จัดสอบหรือจะทำรายงานมาส่งเก็บคะแนน ซึ่งสิ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง
4.ใช้วิธีการเบี่ยงเบนพฤติกรรมแทนการสั่งให้หยุดหรือห้าม เช่น นักเรียนบางคนที่ชอบเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ก็อาจเปลี่ยนที่นั่งให้ใกล้ชิดคุณครูหรือให้ห่าง จากหน้าต่างแทนการไปดุต่อว่านักเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความรู้สึกต่อต้านได้
5.ควรให้ความสำคัญกับนักเรียนทุกคน ในฐานะเขาเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียน เขาควรมีสิทธิ์ในการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับชั้นเรียนและควรมอบหมายหน้าที่ให้เขาดูแลตามสมควร
6.ใช้โทนเสียงปกติในการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ตะโกนใส่ ซึ่งจะทำให้ชั้นเรียนมีความสัมพันธ์ที่ดี นักเรียนก็พร้อมที่จะตั้งใจฟังครู และพฤติกรรมที่ดีของครูก็จะเป็นแบบอย่าง ที่ดีของนักเรียนต่อไป เพราะไม่มีใครชอบคนที่ตะโกนใส่ตัวเอง ดังนั้นจึงควรพูดคุยกับเด็กด้วยโทนเสียงปกติ
7.สอนให้เด็กรู้จักเลือกที่จะทำอะไรก่อนและหลัง
8.กำหนดเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชั้นเรียน และกำชับให้นักเรียนคำนึงถึงการรักษาเวลาอยู่เสมอ
9.ครูควรมีโอกาสบอกความรู้สึกของตัวเองกับนักเรียน ถึงสิ่งที่นักเรียนกำลังกระทำอยู่ว่า ครูชอบและชื่นชมในสิ่งที่เขาทำดี หรือรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมไม่ดีของเขา ซึ่งจะทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกการกระทำของเขาส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่น
10.ส่งเสริมให้นักเรียนทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความแตกต่าง และแม้จะคนเดียวกัน แต่ในแต่ละวันก็มีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน เราจึงควรสอนให้นักเรียนรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะได้จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเหมาะสม คือสามารถกำกับตัวเองได้นั่นเอง การใช้คำพูดเป็นกุญแจสำคัญของการสร้างวินัยเชิงบวก จากเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกจะเห็นได้ว่า เป็นวิธีที่ส่งเสริมให้ครูได้ใช้วิธีการเพื่อการสอนมากกว่าการสั่ง ซึ่งคีย์เวิร์ดที่สำคัญในเรื่องของการสร้างวินัยเชิงบวกนี้คือ เรื่องของการเลือกใช้คำ โดย ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ได้บอกถึงแนวทางในการตรวจสอบคำพูดของตัวเองว่า ช่วยให้นักเรียนมีวินัยเชิงลบหรือเชิงบวกหรือไม่ ได้แก่
1.คำพูดนั้น เป็นการสั่ง หรือ การสอน การสั่งคือ การบังคับให้ทำ ส่วนการสอนคือการบอกและส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำด้วยตัวเอง ซึ่งการสอนนั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักเรียนได้ดีกว่าการสั่งหรือการบังคับ
2.คำพูดนั้น เป็นสิ่งที่พูดถึงอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เราควรจะพูดถึงพฤติกรรมของนักเรียนในเรื่องของปัจจุบัน ไม่ควรจะยกเรื่องในอดีตหรืออนาคตมากล่าวถึง เช่น เราพบว่านักเรียนหลับระหว่างเรียนหนังสือ เราควรจะพูดคุยกับเขาเฉพาะพฤติกรรมดังกล่าว และไม่ควรต่อว่าเด็กถึงการมาสายของเด็กเมื่อหลายวันก่อน หรือพูดถึงเรื่องที่เราคิดว่าเขาจะทำ แต่เขายังไม่ได้ทำ เป็นต้น
3.คำพูดนั้น เข้าใจยากหรือง่ายสำหรับนักเรียนหรือไม่ นักเรียนแต่ละระดับ มีระดับความเข้าใจในการสื่อสารแตกต่างกัน การเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
4.คำพูดลักษณะของคำพูด ควรเปลี่ยนจาก “ห้าม ไม่ อย่า หยุด” ซึ่งเป็นคำที่ทำให้สมองต้องประมวลผล 2 รอบ ให้เป็นการบอกสิ่งที่ต้องการให้ทำไปตรงๆ เช่น แทนที่จะบอกว่า “อย่าวิ่ง” ให้เปลี่ยนเป็น “ค่อยๆ เดิน” เป็นต้น
ระเบียบว่าด้วยทรงผมนักเรียนโรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์ Regulations for hairstyles of students of Thapae Phadungwit School
ระเบียบว่าด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือของนักเรียนฯ ประกาศการใช้โทรศัพท์
Regulations on using mobile phones of students of Thapae Phadungwit School
เบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครองนักเรียน ปีการศึกษา 2563
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
แบบประเมิน SDQ ปีการศึกษา 2564
ฉบับนักเรียน ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.2/1 ม.2/2 ม.2/3 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3
ม.4/1 ม.4/2 ม.4/3 ม.5/1 ม.5/2 ม.5/3 ม.6/1 ม.6/2 ม.6/3
ฉบับผู้ปกครอง ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.2/1 ม.2/2 ม.2/3 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3
ม.4/1 ม.4/2 ม.4/3 ม.5/1 ม.5/2 ม.5/3 ม.6/1 ม.6/2 ม.6/3
ฉบับครู ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.2/1 ม.2/2 ม.2/3 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3
ม.4/1 ม.4/2 ม.4/3 ม.5/1 ม.5/2 ม.5/3 ม.6/1 ม.6/2 ม.6/3