สมัยก่อน มีเด็กชายอยู่คนหนึ่ง เขาฝันว่าเมื่อโตขึ้นไปเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะเขาเห็นว่านักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะเปลี่ยนโลกนี้ได้ ทั้งการค้นพบที่เปลี่ยนชีวิตของคน ทั้งทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันเลื่องชื่อ เด็กชายคนนั้นฝันอยากที่เปลี่ยนโลกแบบนั้นสักวัน เขามีความมุ่งมั่นถึงขนาดเขียนลงในกระดาษเล็กๆ
"นักวิทยาศาสตร์จะต้องคิดบวก อย่าคิดลบ"
ช่วงชีวิตในวัยเด็กนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่พอเวลาผ่านไป ความฝันของเขาก็เริ่มสั่นคลอน แล้ววันหนึ่งเขาก็เริ่มถามคำถามกับตัวเองว่าเส้นทางที่ตัวเองเดินอยู่นั้นถูกต้องรึเปล่า
เสียงหมาดังขึ้นมาจากในบ้าน แต่ว่านั้นเป็นเสียงที่แสดงถึงความเจ็บปวด เด็กชายวิ่งกลับไปที่บ้านหลังจากไล่ต้อนสุนัขที่วิ่งออกมา เมื่อกลับไปถึงเขาก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างเป็นครั้งแรก "ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรักไป"
อยากจะร้องไห้ก็ไม่สามารถทำได้ เป็นความไม่เข้าใจที่เก็บไว้ในใจ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่เด็กชายก็สับสนในความรู้สึกของตัวเอง ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกเสียใจ ไม่รู้สึกเศร้า ไม่รู้สึกอะไรเลย...
...เหมือนกับบางอย่างหายไปจากชีวิต...
ยิ่งคิดหาคำตอบ ก็ยิ่งมีความสงสัย เพราะว่าใช้ความคิดมากเกินไป ความเครียดเลยค่อยๆกัดกินเด็กชาย ถึงแม้ว่าจะมีชีวิต แต่ก็เหมือนกับตายไปแล้ว ท่ามกลางเสียงเดินของเข็มนาฬิกา เด็กชายจมกับความคิดตัวเองและถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
"ตัวเองเกิดมาทำไม"
นั้นเป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้ถามตัวเองถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ ถึงสุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้ยังเป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจน แต่นั่นก็เป็นก้าวแรกที่เด็กชายได้เห็นความหมายของการมีชีวิต
"ความหมายของการมีชีวิตคือ การให้"
คำพูดนั้นทำให้คำตอบของเด็กชายเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น และนั้นเป็นครั้งแรกที่เด็กชายได้ยินคำว่า "การให้" ท่ามกลางหอประชุมที่มืดมิด น้ำตาของเด็กชายเริ่มไหลริน เด็กชายค่อยๆเช็ดน้ำตาของตัวเองและคิดว่านี่อาจจะเป็นคำตอบที่เขาตามหาอยู่
...อยากที่จะทำอะไรให้โลกนี้บ้าง เพียงเล็กน้อยก็ยังดี...
เด็กชายเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เพื่อตามหาความเป็นตัวเองอีกครั้ง หลังจากทิ้งตัวตนของตัวเองไปหลายปี เล่นเปียโน เขียนโปรแกรม เล่นปิงปอง วาดรูประบายสี แต่งเพลง เขียนเกม
ชีวิตของเด็กชายมีสิ่งใหม่เข้ามามากมาย บางอย่างก็เป็นสิ่งที่คุ้นเคย บางอย่างก็เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด แต่เด็กชายก็ไม่เคยย่อท้อ แม้ว่าในวันที่โชคชะตาจะไม่เข้าข้างเขา
"คุณค่าของคนเราในวันหนึ่งๆมีค่าเท่ากัน แต่มันต่างกันที่ว่าในวันนั้นคุณได้ทำเต็มที่รึยัง"
เด็กชายได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต ในวันหรุ่งนี้เขาอาจจะตาย ในวันพรุ่งนี้เขาอาจจะเสียสิ่งที่เขารักไปอีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้โลกอาจจะไม่เป็นเหมือนอย่างใรวันนี้ แต่เพราะเด็กชายได้เรียนรู้ถึงคุณค่าในชีวิตแล้ว
เขาเลยไม่กลัวอนาคตอีกต่อไป เพราะว่าต่อให้อนาคตจะย่ำแย่ขนาดนั้น เขาก็สามารถบอกได้ว่าวันนี้เขาได้ทำสุดความสามารถแล้ว
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝันดำเนินไปจนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กชายก็ได้สัมผัสอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาเจ็บปวดเป็นครั้งที่สองในชีวิตของเขา ซึ่งก็คือ
...ความรัก...
ที่ผ่านมา เด็กชายนั้นเคยมีความรักมาก่อนแต่ก็ไม่เคยบอกให้ใครได้รู้ จนเด็กชายคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
...แต่สุดท้ายเด็กชายก็ล้มเหลว ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบแบบนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเจอเข้าจริงๆ หลังจากนั้นความคิดดำมืดก็เริ่มถาโถมเข้ามาในหัวของเด็กชาย ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครแม้แต่จะอยากเข้าใจความรู้สึกของเขา
"เพราะว่าทุกๆคนต่างก็เห็นแก่ตัวกันหมด"
ความคิดที่ดำมืดนั้นมากพอที่จะเปลี่ยนความฝันของเด็กชายจากที่เคยบอกว่า "จะเปลี่ยนโลก" เป็น "ทำลายโลก" ได้ในพริบตา ฟังแล้วคงเป็นเรื่องขำขันสำหรับใครหลายๆคน แม้แต่คนที่เขียนบทความในตอนนี้ แต่การทำลายอะไรบางอย่างนั้นมันช่างง่ายและหอมหวานมากกว่าการเปลี่ยนอะไรเป็นไหนๆ
ไม่ต้องคิดถึงความรู้สึกใคร คิดถึงเพียงแค่ความรู้สึกตัวเองก็พอ เพราะแค่เอาตัวเองให้รอดก็แทบจะทำไม่ได้อยู่แล้ว ในโลกที่เน่าเฟะใบนี้น่ะ คิดถึงแค่ตัวเองก็พอแล้ว
แต่ถึงแบบนั้น...นั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กชายสัญญาไว้กับตัวเอง
"นักวิทยาศาสตร์จะต้องคิดบวก อย่าคิดลบ"
กระดาษใบเล็กๆเป็นสิ่งที่คอยเตือนเขาแม้ว่าในวันที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต ต่อให้โชคชะตาไม่เข้าข้างเขา เขาก็จะพยายามต่อไป
พยายามที่จะเดินตามความฝันและเปลี่ยนแปลงโลกนี้
มีผู้คนมากมายชื่นชมถึงความสามารถของเขา ความทุ่มเท ความมุ่งมั่น หลังจากนั้นเด็กชายก็พยายามมาตลอด ในเวลาเดียวกับที่ศรัทธาในความรักของเขากำลังจางหายไป
บางครั้ง เด็กชายก็รู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างกำลังจางหายไป...
บางทีก็รู้สึก บางทีก็ไม่รู้สึก
เด็กชายเริ่มพูดน้อยลงและใส่ใจความรู้สึกของตัวเองและคนอื่นมากขึ้นเพราะหวังว่ามันจะทำให้ความรู้สึกเขากลับมา
ถ้าหากว่าวันหนึ่งเราสามารถเปลี่ยนโลกได้ แต่เราต้องเสียความรู้สึกทั้งหมดไป คุณยังจะเลือกเดินตามความฝันนั้นอยู่รึเปล่า
เมื่อเลือกบางอย่าง ก็ต้องเสียบางอย่าง เป็นสิ่งที่เด็กชายรู้ดีอยู่แล้ว
เด็กชายตั้งใจที่จะไม่รู้สึกอีกต่อไปและตั้งใจที่จะเดินตามฝันของตัวเอง แม้ว่าจะมีช่องโหว่ในหัวใจก็ตาม