(ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพในบางช่วงนะครับ)
โพสนี้ผมต้องการจะเขียนถึงรุ่นน้องที่กำลังเข้าใหม่ รุ่นน้องที่กำลังจะทำโครงงาน รุ่นพี่ เพื่อนๆ เด็กที่กำลังเรียนอยู่ คนที่กำลังจะเข้ามหาลัย คนวันทำงาน คนสูงอายุ หรือแล้วแต่ที่จะกดเข้ามาอ่าน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่านี่อาจจะเป็นโพสที่ผมเขียนจริงจังมากที่สุดในรอบหลายสิบปี (และอาจจะเป็นโพสแรกในรอบหลายสิบปีมานี้555) เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงที่ได้ทำโครงงานมาตลอดม.ปลายนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้อยากเขียนขึ้นมานั้นเป็นเพราะว่าผมได้มางาน international conference และคิดว่านี่น่าจะเป็นการพรีเซ้นท์โครงงานครั้งสุดท้ายในชีวิตม.ปลายนี้เลยอยากจะฝากแนวคิดและถ่ายทอดประสบกาณ์นี้ให้กับคนอื่นๆ โครงงานของผมเริ่มต้นในช่วงที่ผมกำลังขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ตอนแรกความสนใจของผมนั้นมุ่งตรงไปแนวเกี่ยวกับจิตวิทยาและวิดีโอเกม ผมจึงพยายามรวบรวมคนและก็ได้เลือกรูมเมทกับเพื่อนสนิทในห้องอีกคนเข้ามาสู่เส้นทางวิบากนี้ด้วย ตอนนั้นผมเริ่มต้นโครงงานจากการลองไปคุยกับอาจารย์ในโรงเรียนแต่พอได้ลองคุยกับอาจารย์จิตวิทยาแล้วก็ได้คำตอบว่าโครงงานทางด้านจิตวิทยาจะค่อนข้างมีความสุ่มเสี่ยงจึงไม่ค่อยแนะนำให้ทำ ผมจึงลองไปสอบถามอาจารย์คอมพิวเตอร์ดูว่าควรจะทำแนวทางไหนดีแต่ก็ยังได้คำตอบที่ไม่แน่ชัดแต่ก็พอจะรู้มาแล้วบ้างว่ามีรุ่นพี่ที่ทำเกี่ยวกับสมองอยู่จนได้ไปเจอตัวจริงก็ตอนที่พรีเซ้นท์โปสเตอร์ในงาน Thailand International Sci Fair (TISF) ผมได้ลองถามอะไรหลายๆอย่างกับรุ่นพี่และก็ได้แนวทางมาทำโครงงานของตัวเอง ต้องบอกก่อนเลยว่าโครงงานของผมนั้นอาจจะดูล้ำกว่าของคนอื่นๆในโรงเรียน (อันนี้ไม่ได้จะอวดนะ555) และด้วยความที่มันล้ำมันเลยเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเข้าใจ กลุ่มของผมพูดคุยและตกผลึกทางความคิดออกมาว่าจะทำต่อยอดจากรุ่นพี่คือการใช้คลื่นสมองของมนุษย์มาใช้ในระบบการยืนยันตัวบุคคล ผมได้ไปปรึกษากับอาจารย์คอมพิวเตอร์และเริ่มต้นศึกษาเอกสารงานวิจัย (ที่จริงจังครั้งแรกในชีวิต) เพื่อคิดไอเดียและแนวทางในการพัฒนา ณ ตอนนั้น ผมก็คงบอกได้แล้วว่า เส้นทางวิบากนั้นได้เริ่มต้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อย
"ทำไมต้องตั้งใจทำโครงงานขนาดนั้นด้วย"
"ทำแล้วมันได้อะไรอ่ะ555"
"โครงงานอ่ะ ทำให้มันจบๆ ผ่านๆไป ทำอย่างอื่นยังดีกว่า"
"โอ๊ย อ่านไม่เห็นรู้เรื่องเลย แบบนี้ไม่รอดแน่ๆ"
"เขร้ ทำไมโครงงานมึงโหดจังว่ะ"
"ช่วยบอกเคล็ดลับในการอ่าน paper ให้เข้าใจหน่อยสิ"
"จะส่งเอกสารไม่ทันแล้วโว้ย!!! กำหนดส่งพรุ่งนี้แล้ว"
"นี่แม่มก็ล่อไปตีหนึ่งแหละ ยังเขียนต้นฉบับไม่เสร็จเลย"
"เฮ้ย พิมพ์ต้นฉบับผิดอะ ไปแก้ด้วย"
"เออ ทำส่งๆไปก่อน เดะค่อยแก้ทีหลังก็ได้"
"โครงงานของพวกกูเนี่ยนะ แม่มเหมือนมีกันอยู่สองคนอะ555"
"เห้ย ถ้าเจอ...ฝากเรียกให้มันมาทำโครงงานที่ห้อง...ด้วย"
"เชี่ย...ผลแม่มออกมาล้มเหลวว่ะ555"
"กูขี้เกียจแล้วอ่ะ ฝากมึงอ่านด้วยละกันนะ555"
เพื่อนหลายๆคนในโรงเรียนผมนั้นมักจะเปรียบการทำโครงงานเหมือนกับขุมนรกอีกขุมหนึ่ง ความท้าทายของมันนั้นเริ่มตั้งแต่คิดหัวข้อโครงงานยาวจนไปถึงส่งเล่มรายงานตอนสุดท้าย ในตอนแรกกลุ่มผมก็ค้นหากันแทบตายว่าจะทำอะไรดี ถึงจะตั้งต้นได้แล้วว่าจะทำพัฒนาต่อยอดจากรุ่นพี่แต่พอลองมาคิดว่าจะต่อยอดยังไง มันก็ดูมืดไปหมด ทั้งค้นเอกสารงานวิจัยก็แล้ว คุยกับอาจารย์ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องที่ตัวเองต้องการจะทำแม้แต่น้อย พวกผมใช้เวลางมหาเรื่องที่จะทำอยู่หนึ่งถึงสองเดือน ประชุมกันประมาณสามถึงสี่ครั้งเพื่อทำเอกสารยื่นข้อเสนอโครงงานให้อาจารย์ที่ปรึกษา ความจริงตอนนั้นก็แอบคิดอยู่หน่อยๆแล้วว่าจะเปลี่ยนหัวข้อดีไหมนะประกอบกับได้เห็นโครงงานเทพของรุ่นพี่ก็ทำให้ห่อเหี่ยวใจขึ้นไปอีก
จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้ไปเห็นงานวิจัยที่ใช้รูปภาพในการกระตุ้นคลื่นสมอง ในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มมีโอเดียและความหวังในการทำโครงงานมากขึ้นเลยเสนอหัวข้อนี้ให้กับอาจารย์ พอเห็นแนวทางที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พวกผมก็เริ่มต้นอ่านงานวิจัยกันอย่างหนักหน่วง ศึกษาอุปกรณ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากรุ่นพี่ ในส่วนนี้ผมจะขอเล่าในมุมมองของผมในช่วงนั้น เปเปอร์ที่ผมอ่านครั้งแรกนั้นผมจำได้เลยว่าผมไม่ได้อะไรจากมันเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งภาษาอังกฤษระดับสูงที่บางครั้งก็มีศัพท์เทคนิคเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งความรู้ที่ตอนนั้นก็แทบจะไม่เข้าใจเรื่องคลื่นสมองแม้แต่น้อย ทำให้ผมแถบอยากเขวี้ยงมันทิ้งและหันไปนอนบนเตียงอย่างช่วยไม่ได้ ในหัวผมมีแต่ความคิดว่า "มันมีมนุษย์ที่อ่านพวกนี้รู้เรื่องด้วยเหรอ" และก็นั่งจ้องตัวอักษรยึกยือต่อไป ตอนนั้นผมมีเพียงคำถามเดียวในใจว่า "จะอ่านเอกสารพวกนี้ยังไงให้เข้าใจดีนะ"
เทคนิคการอ่านเปเปอร์ของผมนั้นไม่ได้มาจากไหนไกลเลย มาจากประสบการณ์ตัวเองล้วนๆๆ555 อย่างแรกที่ผมเริ่มทำเลยคือทำการไฮไลท์คำพูดที่สำคัญๆในบทความนั้นๆ มันอยากจะฟังดูเบสิคเสียจนอยากจะพูดว่า "จะบอกทำเพื่อ" แต่การไฮไลท์นั้นผมต้องบอกเลยว่ามันเป็นเบสิคที่สำคัญมากที่สุดในการอ่านเปเปอร์เลยทีเดียว การไฮไลท์นั้นมีข้อดีหลักๆที่ชัดเจนอยู่สองข้อคือนอกจากเราจะสามารถจับใจความสำคัญของบทความได้แล้ว เรายังสามารถกลับมาอ่านและทำความเข้าใจอีกครั้งในภายหลังได้ พอผมเริ่มไฮไลท์บทความ ผมก็พอถูไถๆอ่านมันได้ พอเจอศัพท์เทคนิดที่ไม่เข้าใจก็ลองเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดู เมือได้อ่านหลายๆงานวิจัยแล้ว ผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงรูปแบบของงานวิจัยในด้านที่ผมกำลังศึกษาอยู่ ผมเริ่มเจอคำศัพท์เดิมๆ เจอเทคนิคเดิมๆ แต่ใช้วิธีการแตกต่างกันและได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกมา พอได้เห็นอะไรใหม่ๆมากขึ้น ผมก็เริ่มมีความอยากในการศึกษาที่ระดับลึกขึ้นและนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมได้เข้าสู่โลกของความรู้ที่อยู่เกินกว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมเป็นคนที่ไม่ได้เก่งคณิตศาสตร์มากนักในตอนที่อยู่ระดับชั้นม.ปลายและต้องขอบอกความจริงเลยว่าตัวผมเองก็ไม่ได้ฝึกฝนโจทย์อย่างสม่ำเสมอเหมือนกับเพื่อนที่เป็น สอวน. หรือโอลิมปิกระดับประเทศ แต่ว่าสำหรับการทำงานวิจัยนั้น ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่าคณิตศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้ความเข้าใจและประยุกต์ใช้เสียซะมากกว่า (อย่างน้อยก็สำหรับพวกที่ไม่ใช่ pure math ละนะ555) ในช่วงที่ทำงานวิจัย ผมเคยมีคำถามกับเรื่องๆหนึ่งอย่างมากและมันทำให้ทุกๆอย่างดูไม่ราบรื่นถ้าผมยังไม่เข้าใจในเรื่องๆนี้ดีและนั้นก็คือคำว่า Fourier transform หลายคนที่เคยเรียนมหาลัยในสายไฟฟ้าหรือคลื่นต่างๆอาจจะเคยผ่านหูผ่านตาคำนี้มาบ้าง แต่สำหรับผมแล้วคำว่า Fourier transform นั้นมันแถบจะเป็นอะไรที่ใหม่เอี่ยมสำหรับผมเลยทีเดียว ผมพยายามศึกษาและค้นคว้าดูว่ามันคืออะไรอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์พอสมควร ถ้าหากถามว่าเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายจะมาเข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้ได้มั้ย ผมคงต้องบอกว่า "มันเป็นไปได้" เพราะว่าองค์ความรู้พื้นฐานส่วนใหญ่นั้นก็มาจากเรื่องที่เราเรียนในห้องเรียนหรือเป็นเรื่องที่คุ้นเคยเป็นประจำอยู่แล้ว อย่างเช่น ความรู้พื้นฐานของ Fourier transform นี้ก็มาจาก Dot product ซึ่งหลายๆคนก็น่าจะเคยเรียนในวิชาฟิสิกส์มาแล้ว ดังนั้นโดยสรุป สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือความรู้ระดับสูงที่อยู่ในเอกสารงานวิจัยทุกอย่างล้วนมาจากพื้นฐานของความรู้ที่นำไปต่อยอดอีกทีหนึ่งและการที่เราจะเข้ามันได้นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราพยายามที่จะทำความเข้าใจความรู้นั้นลงไปถึงระดับพื้นฐานมากแค่ไหน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีหลายๆคนถามว่าทำไมผมต้องพยายามกับโครงงานมากขนาดนี้ ทำไมต้องพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อหาในห้องเรียนหรือแม้แต่คะแนนในข้อสอบ ก่อนที่ผมจะตอบคำถามเหล่านี้ ผมอยากที่จะเล่าประวัติชีวิตของตัวเองก่อนสักนิด ตอนประถมผมจบจากโรงเรียนเอกชน ผมเรียนหลักสูตร Bilingual และนั้นมันเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงมีความเชี่ยวชาญกับภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในช่วงก่อนที่ผมกำลังจะเปลี่ยนโรงเรียน ผมก็มีความฝันอยู่ในใจเป็นที่เรียบร้อยและนั้นก็คือการเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าหากผมไปพูดกับเพื่อนๆหลายๆคน ผมเชื่อว่าพวกเขาคงคิดว่าผมเป็นคนที่แปลกและแตกต่าง ผมจึงไม่ค่อยได้พูดเรื่องความฝันกับคนอื่นๆสักเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่พ่อแม่และข้อความที่ผมเคยเขียนทิ้งท้ายตอนเด็กไว้ว่า "เพราะว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมต้องคิดบวกอยู่เสมอ" บนโน็ตเล็กแนบไว้กับตุ๊กตาสุนัขสีเขียวและบางทีตอนนี้มันก็อาจจะหายไปแล้ว555 ผมใช้ชีวิตไปกับความฝันของผมและกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนที่จนมาถึงตอนนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่ามันได้กลายมาเป็นความทรงจำดีๆในชีวิตของผม จนกระทั่งผมได้เข้ามาศึกษาที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
ผมคิดว่าสิ่งที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ได้มอบให้กับผมมากที่สุดนั้นไม่ใช่ความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยหรือการเรียนการสอนที่เข้มข้น แต่สิ่งที่โรงเรียนได้ให้กับผมมากที่สุดคือโอกาสที่ผมจะแสดงความสามารถของผม ตั้งแต่ที่ผมเข้าศึกษาที่นี่ สิ่งที่ผมทำในเวลาว่างคือการเขียนโปรแกรมและศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาเกมที่ผมได้เริ่มโปรเจคไว้ตั้งแต่ตอนมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพราะว่าเป็นโรงเรียนประจำที่ผมต้องอยู่หอ ผมจึงมีเวลาว่างมากขึ้นและผมก็พยายามที่จะใช้เวลาตรงนั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในแบบของผม และในระหว่างนั้นเองที่โรงเรียนก็ได้จัดกิจกรรมฟังบรรยายพิเศษ ผมก็ได้ไปเข้าร่วมตามธรรมเนียมของเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยที่ไม่รู้เลยว่า การบรรยายครั้งนั้นจะเป็นการเปลี่ยนแนวคิดของผมไปทั้งชีวิต การบรรยายครั้งนั้นผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผู้บรรยายเป็นใครหรือหัวข้อคืออะไร ที่จำได้มีเพียงแค่ เขาได้สอนผมถึงคำว่า "การให้" และนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินคำๆนี้