เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ชาวเมืองตากทุกครัวเรือนจะนำด้ายดิบ (ด้ายที่ปั่นมาจากฝ้าย) มาฟั้น ด้วยแต่ละเส้น จะประกอบด้วยด้ายเส้นเล็กๆ จำนวน 9 เส้น จากนั้นจะนำด้ายที่ฟั้นเสร็จแล้วมาวัดตามความยาวของแขนที่กางออกทั้งสองข้าง ของสมาชิกภายในบ้านทุกคน เรียกว่า วัดวา แล้วเด็ดออก ด้ายแต่ละเส้นจึงมีความยาวไม่เท่ากันแล้วแต่ว่าผู้วัดจะมีความยาวของแขนเท่าไร จากนั้นนำด้ายที่วัดวาแล้วมาวัดที่ศีรษะของผู้เป็นเจ้าของ
ด้ายเส้นนั้น เมื่อวัดรอบศีรษะได้เท่าใดก็ให้เด็ดออก จากนั้นนำด้ายที่วัดรอบศีรษะที่เด็ดออกมามัดต่อเข้ากับด้ายเส้นเดิม การกระทำเช่นนี้เป็นความเชื่อของผู้เท่าผู้แก่ ถือว่าเป็นการต่ออายุให้กับตนเอง ด้ายฟั้นที่เหลือจากการวัดวาก็จะนำมาทำฟั่นให้เป็นรูปตีนกา มีจำนวนเท่ากับสมาชิกในครอบครัว
ต่อจากนั้นจึงนำด้ายทุกเส้นและตีนกา มาแช่ในน้ำมะพร้าว การทำตีนกาเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่า แสงไฟจากตีนกาจะเป็นการบูชาแม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ตามตำนานเล่าว่า มีเณรน้อย ผู้ชอบเที่ยวซุกซนองค์หนึ่ง มีนิสัยชอบล่าสัตว์ ยิงนก ตกปลาอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งได้ยิงไก่, วัว, เต่า และพญานาคตาย แต่ก่อนสัตว์เหล่านั้นจะตาย เณรน้อยได้เกิดสำนึกในบาปที่ตนได้ล่าสัตว์และ ทรมานสัตว์เหล่านั้น จึงได้อธิษฐานร่วมกับไก่, วัว, เต่า และพญานาคว่า ถ้าเกิดในชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
ณ ริมฝั่งแม่น้ำ มีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่งเป็นที่อยู่ของกาเผือกสองผัวเมีย ซึ่งได้ออกไข่มา 5 ฟอง อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กาเผือกสองผัวเมียออกไปหาอาหารได้เกิดท้องฟ้ามือครึ้ม มีลมพายุพัดอย่างแรง ทำให้ไข่กาเผือกทั้ง 5 ฟอง ลอยตกลงไปในแม่น้ำ แต่ไข่นั้นหาจมน้ำไม่ กลับลอยไปติดที่ชายหาดแห่งหนึ่งและไข่ทั้ง 5 ฟอง ก็แตกออกเป็นทารก 5 คน ทารกทั้ง 5 คนนั้น คือ เณรน้อย, ไก่, วัว, เต่า และพญานาค ที่กลับมาเกิดนั่นเอง
ทารกทั้ง 5 คน ได้พากันอธิษฐานร่วมกันว่า ถ้าตนทั้ง 5 ได้เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันก็ขอได้มีโอกาสพบพ่อแม่ด้วยเถิด ฝ่ายกาเผือกสองผัวเมียเมื่อตายลงก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ได้เข้าฝันทารกทั้ง 5 ว่า “หากเจ้าทั้ง 5 คน อยากเห็นหน้าและระลึกถึงพ่อแม่ ก็จงฟั่นด้ายเป็นรูปตีนกา แล้วลอยแม่น้ำคงคาไป” ทารกทั้ง 5 จึงทำตาม และต่อมาทั้ง 5 คน ได้บำเพ็ญตนจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์
การลอยกระทงสายของชาวเมืองตากทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง จึงมีการฟั้นด้ายเป็นรูปตีนกา เพื่อขอบูชาแม่กาเผือกของพระเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ ในเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนก็จะนำด้ายวัดวา รวมทั้งตีนกาที่แช่น้ำมันมะพร้าว พร้อมด้วยกระทงที่จะนำไปลอยตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและดอกไม้ธูปเทียน ไปที่วัดภายในหมู่บ้าน เพื่อนำด้ายที่วัดวาไปพาดบนคานไม้ แล้วจุดไฟที่ด้ายของแต่ละคน
ส่วนตีนกาที่เตรียมมาด้วยก็จะนำไปวางพบถ้วยดินเผา ซึ่งเรียกว่า “ถ้วยประทีป” นำน้ำมันมะพร้าวใส่ลงไป การใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงนั้น นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งน้ำมันมะพร้าวจะมีกลิ่นหอม มีควันน้อยเมื่อจุดไฟ การจุดไฟที่ด้ายและตีนกาถือเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า แสงไฟจะสร้างความสว่างไสวให้กับชีวิตของตนเอง
นอกจากฟั้นด้ายและตีนกาแล้ว แต่ละครัวเรือนจะเตรียมทำกระทงเพื่อใช้ลอยขอขมาแม่พระคงคา ด้วยการนำกาบกล้วยหรือกาบพลับพลึงมาเย็บเป็นกระทง ใช้ธูปพันด้วยด้ายชุบน้ำมันมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิง และมีการจัดแพ “ผ้าป่าน้ำ” ที่ทำด้วยต้นกล้วยตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และธงหลากสี
ซึ่งตัดตกแต่งเป็นลวดลายอย่างงดงามจากกระดาษแก้ว ใส่หมากพลู บุหรี่ ขนม ผลไม้ และเศษสตางค์ เพื่อเป็นพุทธบูชา แม่พระคงคาในสายน้ำปิง เมื่อเสร็จพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว
ชาวบ้านก็จะเริ่มร้องรำทำเพลงเป็นที่สนุกสนาน และไปร่วมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ หลังจากนั้นจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เป็นผู้นำในการกล่าวคำขอขมา และนำแพผ้าป่าน้ำ ลงลอย ต่อจากนั้นชาวบ้านก็จะนำกระทงที่เตรียมมาลงลอย ต่างคนก็ต่างปล่อยกระทงของตนเอง จากกระทงหนึ่งใบเป็นสอง สาม สี่ จำนวนกระทงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างสรรค์ความงดงามในลำน้ำผสมผสานกับเสียงร้องรำทำเพลง เสียงดนตรีของกลุ่มชาวบ้าน สร้างความคึกครื้นและความบันเทิงที่ไม่เหมือนที่แห่งใดในประเทศไทย นับเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ก่อเกิดความรัก ความสามัคคี และความศรัทธา
ปัจจุบัน การสายจะใช้กระทงกะลามะพร้าว แทนกระทงที่ทำจากกาบกล้วยและกาบพลับพลึง เนื่องจากการดำเนินชีวิตของชาวเมืองตากที่มีการทำไส้เมี่ยงเป็นอุตสาหกรรม ภายในครัวเรือน และเมี่ยงเป็นอาหารว่างที่คนเมืองตากนิยมรับประทานกัน นอกจากนั้น ยังเป็นสินค้าพื้นเมืองที่เป็นที่นิยมในภาคเหนืออีกด้วย เนื่องจากไส้เมี่ยงมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบสำคัญ เมื่อขูดเอาเนื้อมะพร้าวออกหมดแล้ว กะลามะพร้าวจึงเป็นวัสดุเหลือใช้ และสามารถนำมาเป็นวัสดุในการทำกระทง เพื่อนำมาลอยในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง โดยมีการนำแพผ้าป่าน้ำมาลอยเป็นกระทงนำ และจะมีกระทงปิดท้าย เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดการสายแต่ละสาย ในการสายจะมีการร้องรำทำเพลงประกอบด้วย
ผู้เขียน นางทักษพร วงษ์พานิช
ข้อมูลอ้างอิง
https://thailandtraditionblog.wordpress.com
แหล่งที่ ภาพกระทงสาย
http://www.oknation.net/blog/prapask1/2018/11/14/entry-1