ตอนที่แล้วเราพูดถึงโครงสร้างหลักสูตร Ph.D. ว่าต้องทำอะไรบ้างถึงจะจบ ในสองตอนถัดไปเราจะพูดถึงการเรียนวิชา coursework อย่างละเอียดว่าต่างจากที่ไทยมากน้อยขนาดไหน
เนื่องจากหลักสูตร Ph.D. เน้นงานวิจัยมากกว่าเนื้อหาวิชา ดังนั้นในการเรียนรายวิชาจึงไม่ได้บังคับมากจนเกินไป เนื้อหาที่ให้เรียนก็อาจจะไม่ได้เรียนทุกอย่างครอบจักรวาล เพียงแต่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่สำคัญ และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้้ในการวิจัยได้ การสอนในเมกาจึงเน้นที่พื้นฐาน บางครั้งก็พื้นฐานจริงๆ จนน่าตกใจ เช่น วิชา Biochem อาจารย์เริ่มด้วยเนื้อหา Statistical/Classical Thermodynamics ก่อนเพราะต้องใช้อธิบายเสถียรภาพของโครงสร้างชีวโมเลกุล วิชา Analytical Chem อาจารย์สอนวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นด้วย เผื่ออนาคตจะได้คิดค้น ต่อประกอบหรือซ่อมเครื่องมือเองได้ หรือวิชา Nanoscale Imaging ที่สอนตั้งแต่พื้นฐานการเกิดภาพ ยังกะเรียนฟิสิกส์ มีการสะท้อน การหักเห ฟูเรียร์ทรานสฟอร์มมาเต็ม เป็นต้น อันนี้เป็นความประทับใจส่วนตัวอย่างนึง และการสอนในภาพรวมนั้นถือว่าดี ยังไม่เจอใครสอนไม่รู้เรื่องครับ
ส่วนการประยุกต์ใช้ความรู้ในงานวิจัย แน่นอนว่าต้องมีการอ่านเปเปอร์ แต่ด้วยความที่เป็นวิชาระดับ Ph.D. การอ่านเปเปอร์ให้เข้าใจอย่างเดียวจึงไม่พอ อาจารย์จึงคาดหวังเพิ่มขึ้นว่าผู้เรียนต้องวิจารณ์จุดดีจุดด้อยของแต่ละเปเปอร์ ระบุผลกระทบของเปเปอร์ต่อ field และคิดงานวิจัยใหม่ๆ ได้จากเปเปอร์ที่อ่าน หรือคิดได้เองโดยออกแบบการทดลองให้เหมาะสม ดังนั้นการบ้านที่สั่งจึงมีความแอดว้านซ์ในระดับนี้ ไม่ใช่ง่ายๆ (เดี๋ยวจะลิสต์ให้ดู) ซึ่งการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาของไทยน่าจะขาดจุดนี้ไปบ้าง
วิธีเก็บคะแนนสามารถแบ่งได้เป็นสองส่วนตามปกติคือ คะแนนสอบ และคะแนนเก็บ เหมือนกับที่ไทย แต่อัตราส่วนคะแนนนั้นต่างกัน ไทยมักจะเน้นคะแนนสอบเป็นหลัก (ประมาณร้อยละ 70-100 ขึ้นอยู่กับความโหดร้าย) โดยเฉพาะสอบกลางภาคและปลายภาค จึงทำให้ประเมินได้แค่ความรู้ความเข้าใจหรือการนำไปใช้ขั้นต้นของเนื้อหาในรายวิชาเป็นหลัก อาจจะให้ความสำคัญแก่การเอาความรู้ไปใช้ในงานวิจัยน้อยไปหน่อย ส่วนในเมกานี่ทุกวิชาจะมีคะแนนการบ้าน เท่าที่เจอมานี่แต่ละวิชาจะมีสไตล์การเก็บคะแนนที่ต่างกัน วิชาที่คะแนนสอบมากที่สุดคือ Adv Anal Chem ที่อาจารย์ที่ปรึกษาผมสอน (ประมาณ 70 คะแนน) ส่วนวิชาที่เหลือนั้นคะแนนสอบไม่มากนัก (0-40 คะแนน) แต่เน้นที่คะแนนการบ้านและงานที่มอบหมายมากกว่า ในบางวิชามีแต่คะแนนการบ้านล้วนๆ ข้อสอบนั้นก็มีหลายแบบ ปิดตำรา เปิดตำรา หรือ Take-Home และการสอบนี่ซื่อสัตย์มาก อาจารย์เดินเข้ามาแจกข้อสอบในห้อง แจกเสร็จก็กลับไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศ ไม่มีใครคุมสอบ เด็กแต่ละคนก็นั่งทำไปของใครของมัน (อาจจะมีมองหน้ากันแล้วหัวเราะปลงๆ) เสร็จแล้วเด็กก็เดินเอาไปส่งเอง ดีงามมาก แต่เราว่าข้อสอบที่เมกาง่ายกว่าไทย :P
แต่แม้จะมีคะแนนการบ้านเยอะ ก็ไม่ได้ช่วยให้ได้เกรดง่ายขึ้น เพราะในขณะที่ไทยนั้นส่งการบ้านครบทุกครั้งก็ได้เต็ม (ในหลายวิชา) แต่ในเมกา วิชาที่ผมเรียนนั้นตรวจการบ้านอย่างจริงจัง ได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนสอบก็มี ตัวอย่างการบ้านหรืองานที่มอบหมายที่รายวิชาระดับ Ph.D. ในเมกานิยมสั่งกัน (ในไทยไม่เคยพบการสั่งงานแบบนี้เลย) เช่น
ให้เปเปอร์ Review มาอ่าน แล้วให้เขียน/พรีเซนท์ วิเคราะห์สถานภาพของ field งานวิจัยนั้น วิเคราะห์ปัญหาหรือความท้าทายในการพัฒนา field นั้นให้ก้าวหน้า และทำนายว่าอนาคตเขาจะเล่นอะไรกันใน field นี้
ให้เปเปอร์ Original Research Article มาอ่าน แล้วทำตัวเป็น reviewer วิจารณ์จุดดีจุดด้อยของแต่ละเปเปอร์ แล้วสุดท้ายสรุปออกมาว่าเปเปอร์นั้นมีคุณภาพในระดับใด (accept as is, minor revision, major revision, reject) และลองคิดหาการทดลองเพิ่มจากเปเปอร์ดังกล่าว โดยต้องออกแบบการทดลองเป็นอย่างดี
ให้เขียนและพรีเซนท์ Review อะไรก็ได้ที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับรายวิชา ยาวมาก เขียน 10 หน้าและพรีเซนท์ 20 นาที
อันนี้พีคสุด ให้เขียน Grant Proposal (ข้อเสนอโครงการวิจัยสำหรับขอทุน) ที่ใช้ความรู้ในวิชาที่เรียน โดยเขียนอย่างละเอียดตามแบบฟอร์มของ National Institute of Health หรือ National Science Foundation ได้แก่ สรุปภาพรวมและวัตถุประสงค์หลัก (specific aim), ที่มาและความสำคัญ (significance), ความใหม่ของงาน (innovation), วิธีทดลองและการออกแบบการทดลอง (approach) ความยาวประมาณ 5-10 หน้าแล้วแต่วิชา
คะแนนของการบ้านสองแบบแรกอาจจะราวๆ 5-10% ส่วนสองแบบหลังอาจจะ 15-40% ของรายวิชา เห็นมั้ยว่าสำคัญจริง สังเกตว่าเป็น skill ที่ต้องใช้เวลาทำงานขณะเรียนและหลังเรียนจบ Ph.D. ทั้งนั้น และเนื่องจากคะแนนเยอะ หลายครั้งอาจารย์จึงให้เราเขียน first draft มาในชั้นเรียน ให้เพื่อนๆ ช่วยกันวิจารณ์แล้วเอาไปปรับแก้ ก่อนส่งให้อาจารย์ตรวจให้คะแนนจริง (ลอกเลียนกระบวนการตีปิงปองไปมาระหว่างเด็กกับอาจารย์เวลาเขียนเปเปอร์ นั่นเอง)
ส่วนการตัดเกรด ในไทยเราจะไล่เกรดทีละ 0.5 ก็คือ A (4.0), B+ (3.5), B (3.0), C+ (2.5), C (2.0) และถ้าได้ C ขึ้นไปก็ถือว่าสอบผ่าน (แต่ต้องได้เฉลี่ยทุกวิชาเกิน 3.00 นะ) แต่ในเมกา เกรดจะซอยย่อยกว่านี้ แบ่งเป็น A+ (4.3 หรือ 4.0 หรือบางที่ไม่มีเกรดนี้), A (4.0), A- (3.7), B+ (3.3), B (3.0), B- (2.7), C+ (2.3), C (2.0) โดยถ้าตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ อาจารย์มักจะตัด A ที่ 90 หรือ 93 และตัด B ที่ 70 สำหรับวิชาในระดับ ป.เอก แปลว่าถ้าได้ต่ำกว่า 70 ก็ถือว่าตก (โดย B- ถือว่าอนุโลม) แต่ถ้าต่ำกว่า B- ก็ถือว่าสอบตก ไม่นับหน่วยกิต ด้วยความซับซ้อนของข้อสอบและการบ้าน จะเห็นว่า 70 คะแนนนี่ไม่ได้ชิว ผู้เรียนแทบทุกคนจึงเอาแค่สอบผ่านได้ B ก็พอใจแล้ว และเอาจริงๆ เกรดระดับ Ph.D. ไม่ค่อยสำคัญมาก ตอนไปสมัครงานก็วัดกันที่เปเปอร์ที่ตีพิมพ์มากกว่า
ป.ล. ตัดเกรดเป็นไปตามความพอใจของผู้สอนเลยฮะ ไม่ต้องเข้าที่ประชุมภาค น่ากลัวอยู่นะ แต่อาจารย์ก็จะบอกคะแนนทุกช่อง คะแนนเก็บ คะแนนสอบย่อย มิดเทอม ไฟนอล เด็กก็จะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองควรจะได้เกรดประมาณไหน ไม่น่าพลิกโผ
ทั้งที่เมกาทุกคนต้องประเมินการสอนของอาจารย์ทุกวิชาหลังเรียนจบเทอม ที่ไทยก็ประเมินเนาะแต่ก็ไม่รู้ว่าการประเมินนี่สำคัญขนาดไหน มีผลต่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพของอาจารย์หรือไม่ อาจารย์เอาไปปรับปรุงการสอนหรือไม่ บางวิชาเด็กบ่นทุกปีแต่ก็ยังเหมือนเดิม ส่วนที่เมกานี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้แต่ว่าอาจารย์คะยั้นคะยอให้ประเมิน เพราะอยากรู้จริงๆ และการประเมินการสอนมีผลต่อความก้าวหน้า เช่น เวลาจะยื่นขอเลื่อนตำแหน่งจาก ผศ. เป็น รศ. / รศ. เป็น ศ. ต้องแนบผลการประเมินและจดหมายและความเห็นจากเด็กที่เคยสอนแนบไปด้วย ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าอาจารย์เด็กๆ จะตั้งใจสอนมากกว่าอาจารย์ที่เป็น ศ. แล้วเพราะการสอนไม่มีผลกับชีวิตแล้ว แคร์แต่งานวิจัยอย่างเดียว
ในตอนหน้าจะพูดถึงรายละเอียดในวิชาอื่นๆ ที่ไม่ใช่การสอนเนื้อหาทางเคมี เช่น สัมมนา หรือเซฟตี้ ซึ่งเป็นอีกแง่มุมของหลักสูตรที่น่าสนใจ