I. ในจักรวาลนี้มีประวัติศาสตร์อยู่สองด้าน: ประวัติศาสตร์ของมนุษย์หรือประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์ และประวัติศาตร์ของพระเจ้าหรือประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์; ด้านแรกเป็นเหมือนเปลือกนอก ส่วนด้านหลังเป็นเหมือนแก่นที่อยู่ในเปลือก — เทียบ ยอล.1:4:
1. ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ถูกเปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์อย่างละเอียด; ประวัติศาสตร์ของพระเจ้ายังเป็นประวัติศาสตร์ของเราด้วย เพราะพระองค์ทรงเข้าสนิทกับเรา:
(1) เราจำเป็นต้องมองเห็นประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่อยู่ในนิรันดร์กาลในอดีต ซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับการเคลื่อนไหวที่พระองค์จะทรงเข้าสนิทกับมนุษย์:
ก. ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นด้วยพระเจ้าองค์นิรันดร์และแผนการบริหารของพระองค์; ตามแผนการบริหารของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงต้องการที่จะนำตัวของพระองค์มากระทำเข้าสู่มนุษย์เพื่อจะเป็นหนึ่งกับมนุษย์; เพื่อเป็นชีวิต, การหล่อเลี้ยงแห่งชีวิต, และทุกสิ่งของมนุษย์; และเพื่อจะได้มนุษย์มาเป็นการสำแดงของพระองค์ — อฟ.3:9–10; 1:10; ยนซ.1:26; 2:9.
ข. ในนิรันดร์กาลก่อน พระเจ้าทรงจัดการประชุมขึ้นในตรีเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพื่อจะตัดสินชี้ขาดในเรื่องการตายของพระคริสต์ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง — กจ.2:23.
ค. พระภาคที่สองในตรีเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ทรงเตรียมพร้อมที่จะทำให้การที่พระองค์จะ “เสด็จออก” จากโลกนิรันดร์เข้าสู่กาลเวลาเพื่อจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในเบ็ธเลเฮมนั้นสำเร็จลุล่วง — มคา.5:2.
ง. พระเจ้าทรงอวยพรแก่ผู้เชื่อทั้งหลายในพระคริสต์ด้วยพระพรฝ่ายวิญญาณนานาประการที่อยู่ในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลายก่อนการวางรากสร้างโลก — อฟ.1:3–6.
(2) ประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่อยู่ในมนุษย์นั้นเริ่มจากการกลายเป็นเนื้อหนัง และดำเนินต่อไปด้วยขั้นตอนในการดำเนินชีวิตมนุษย์, การตรึงตาย, การเป็นขึ้น, และการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์; โฮเซอา 11:4 กล่าวว่าขั้นตอนเหล่านี้ก็คือเชือกแห่งมนุษย์ คือสายแห่งความรัก:
ก. ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์หรือการเคลื่อนไหวของพระเจ้าที่อยู่ในมนุษย์นั้นอยู่บนตัวของพระคริสต์ผู้เป็นมนุษย์พระเจ้าที่ผ่านขั้นตอน ในฐานะที่เป็นต้นแบบ จนบรรลุถึงคนใหม่ เพื่อจะสำเร็จสุดยอดในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ซึ่งเป็นมนุษย์พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นการสำเร็จเป็นจริงขั้นสุดยอดแห่งแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า.
ข. พระคริสต์ทรงอาศัยการกลายเป็นเนื้อหนังและการดำเนินชีวิตมนุษย์ของ พระองค์ นำพระเจ้าผู้ไร้ขอบเขตจำกัดเข้าสู่มนุษย์ผู้มีขอบเขตจำกัด, พระองค์ทรงทำให้พระเจ้าตรีเอกภาพได้เข้าสนิทและผสมกลมกลืนกับมนุษย์ที่มีสามส่วน, และในสภาพมนุษย์ของพระองค์นั้น พระองค์ทรงสำแดงคุณลักษณะที่อุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าผู้บริบูรณ์เหลือล้นออกมาผ่านคุณธรรมที่หอมหวนของพระองค์.
ค. การตรึงตายของพระคริสต์เป็นการตายแทน, การตายที่ครอบคลุมสรรพสิ่ง, การไถ่ทางด้านหลักกฎหมายที่ครอบคลุมสรรพสิ่ง ซึ่งได้สิ้นสุดสิ่งทรงสร้างเก่าและแก้ปัญหาทั้งปวง (ยฮ.1:29); ในการตรึงตายนั้น พระองค์ทรงไถ่สิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแต่ได้ตกต่ำไปในความบาป (ฮร.2:9; กซ.1:20), พระองค์ทรงเนรมิตสร้าง (ให้กำเนิด) คนใหม่ด้วยองค์ประกอบอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ (อฟ.2:15), และพระองค์ยังทรงปลดปล่อยชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกมาจากภายในเปลือกแห่งสภาพมนุษย์ของพระองค์ (ยฮ.12:24; 19:34; ลก.12:49–50).
ง. ในการเป็นขึ้นของพระองค์ พระองค์ทรงบังเกิดเป็นพระบุตรหัวปีของพระเจ้า (กจ.13:33; รม.1:4; 8:29), พระองค์ทรงกลายเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต (1กธ.15:45ข), และพระองค์ทรงให้ผู้คนนับล้านๆ คนได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งเหล่าอวัยวะแห่งพระกายของพระคริสต์และส่วนประกอบที่ก่อรูปเป็นคนใหม่คนเดียว นั่นก็คือคริสตจักร (1ปต.1:3; กซ.3:10–11).
จ. พระองค์ได้เสด็จสู่สวรรค์ จากนั้นก็เสด็จลงมาในฐานะพระวิญญาณนั้น เพื่อก่อกำเนิดคริสตจักรในฐานะคนใหม่คนเดียว เพื่อการสำแดงแห่งกลุ่มชนของพระเจ้าตรีเอกภาพ — ยอล.2:28–32; กจ.2:1–4, 16–21.
2. ดังนั้นคริสตจักรในฐานะความเที่ยงแท้ของคนใหม่คนเดียวจึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์แห่งข้อลับลึกอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในซึ่งอยู่ในประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์ที่อยู่ภายนอก; ในตอนท้ายของประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ในส่วนนี้ พระคริสต์จะเสด็จกลับมาพร้อมกับเหล่าผู้มีชัยชนะซึ่งเป็นกองทัพของพระองค์ (ยอล.1:4; 3:11) เพื่อจะปราบผู้ต่อต้านพระคริสต์และกองทัพของมันให้พ่ายแพ้ไป.
3. ต่อจากนั้น อาณาจักรพันปีก็จะมาถึง; สุดท้ายแล้ว อาณาจักรนี้ก็จะสำเร็จสุดยอดในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ที่อยู่ในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่; กรุงเยรูซาเล็มใหม่จะเป็นขั้นตอนสุดท้าย เป็นขั้นตอนที่สำเร็จสุดยอดในประวัติศาสตร์ของพระเจ้า.
II. เราสามารถมองเห็นพระทัยปรารถนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ต้องการได้มาซึ่งคนใหม่คนเดียวได้จากเปโตร (การปฏิบัติแห่งการจับปลา), เปาโล (การปฏิบัติแห่งการก่อสร้าง), และโยฮัน (การปฏิบัติแห่งการปะชุน):
1. ในวันเพ็นเทคอส พระเจ้าทรงใช้เปโตรในการนำผู้เชื่อชาวยิวเข้ามาเป็นจำนวนมาก (กจ.2:5–11); ยิ่งกว่านั้น เมื่อโกระเนเลียวได้รับนิมิตในการอธิษฐาน (10:30) เปโตรก็ได้รับนิมิตในการอธิษฐานด้วย (ข้อ 17, 19) ซึ่งเรื่องนี้ทำให้โครงการและการเคลื่อนไหวของพระเจ้า (ข้อ 9ข–14, 27–29) ที่ต้องการได้มาซึ่งชาวต่างชาติเพื่อการปรากฏออกมาในความเป็นจริงของคนใหม่คนเดียวนั้นได้สำเร็จลุล่วง.
2. เปาโลเปิดเผยไว้ใน อฟ.2:14–15 ว่าพระคริสต์ทรงนำชาวยิวและชาวต่างชาติมาเนรมิตสร้างขึ้นเป็นคนใหม่คนเดียวผ่านการตายที่เนรมิตสร้างคนใหม่ของพระองค์ (เทียบ 4:22–24); เปาโลบอกเราใน 1 โกรินโธ 12:13 ว่า “ไม่ว่าเราจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีกก็ดี” เราทุกคนล้วนได้รับบัพติศมาเข้าเป็นพระกายหนึ่งเดียว; ในฆะลาเตีย 3:27–28 เปาโลบอกเราว่าคนทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมาเข้าสู่พระคริสต์ก็ได้สวมใส่พระคริสต์ “จึงไม่อาจมีชาวยิวหรือชาวกรีก”; ในโกโลซาย 3:10–11 เปาโลบอกเราว่าชาวยิวและชาวกรีกต่างก็ไม่มีฐานะใดๆ ในคนใหม่.
3. โยฮันบอกเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ “ซื้อมนุษย์ทั้งหลายออกมาจากทุกเผ่า, ทุกภาษา, ทุกชาติ, และทุกประเทศ” (วว.5:9); ผู้ที่ได้รับการไถ่เหล่านี้ล้วนได้ก่อรูปคริสตจักรขึ้นเป็นคนใหม่คนเดียว; เรายังได้มองเห็นผ่านโยฮันด้วยว่า คริสตจักรทั้งหลายคือคันประทีปทองคำ (1:11–12) และคันประทีปเหล่านี้จะสำเร็จสุดยอดกลายเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่; ในคันประทีปเหล่านี้และในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เราจึงมองไม่เห็นความแตกต่างกันของผู้คนหลากหลายชาติเลย.
4. ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งชี้ว่า เราต้องถอดทิ้งคนเก่าและสวมใส่คนใหม่ทุกวัน โดยการดื่มพระวิญญาณองค์เดียวนั้น (1กธ.12:13) เพื่อเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณแห่งความคิดของเรา ในทุกๆ ด้านที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อจะทำให้พระทัยปรารถนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ต้องการได้มาซึ่งคนใหม่คนเดียวในความเที่ยงแท้นั้นได้สำเร็จลุล่วง (อฟ.4:22–24).
III. เมื่อมีประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์จึงมีสิ่งทรงสร้างใหม่ — คนใหม่พร้อมด้วยใจใหม่, วิญญาณใหม่, ชีวิตใหม่, นิสัยใหม่, ประวัติศาสตร์ใหม่, และการสำเร็จสุดยอดใหม่ — บทเพลงที่ 11; ยอค.36:26; 2กธ.3:16; มธ.5:8; ตต.3:5:
1. ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่อยู่ในมนุษย์นั้นเริ่มจากการกลายเป็นเนื้อหนังของพระคริสต์ ผ่านการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์เพื่อจะกลายเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต จากนั้นก็ดำเนินต่อไปด้วยการที่พระองค์ทรงอาศัยอยู่ภายในเราผ่านการช่วยให้รอดทางอินทรียภาพของพระเจ้า ซึ่งประกอบไปด้วยการบังเกิดใหม่, การแบ่งแยกบริสุทธิ์, การเปลี่ยนใหม่, การเปลี่ยนแปลง, การถอดแบบ, และการได้รับสง่าราศี เพื่อจะนำเราเข้าสู่ความเที่ยงแท้ที่ครบบริบูรณ์ของคนใหม่คนเดียวและเพื่อทำให้เรากลายเป็นเจ้าสาวที่มีสง่าราศีของพระคริสต์ — อฟ.4:22–24; รม.5:10; วว.19:7–9.
2. บัดนี้เราจึงต้องนำคำถามนี้มาถามตัวเองว่า “เรากำลังมีชีวิตเป็นอยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์หรือแค่มีชีวิตเป็นอยู่ในประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์เท่านั้น?”:
(1) เราทุกคนล้วนเกิดมาในประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์ แต่เราได้บังเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือบังเกิดใหม่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์; ถ้าการดำเนินชีวิตของเราอยู่ฝ่ายโลกนี้ เราก็มีชีวิตเป็นอยู่ในประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์; แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่ในคริสตจักรซึ่งเป็นความเที่ยงแท้ของคนใหม่คนเดียว เราก็มีชีวิตเป็นอยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์; ในการดำเนินชีวิตคริสตจักรนั้น ประวัติศาสตร์ของพระเจ้าก็คือประวัติศาสตร์ของเรา; บัดนี้ทั้งสองฝ่าย — พระเจ้ากับเรา — จึงมีประวัติศาสตร์เดียวกัน นั่นคือประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์.
(2) เราสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราอยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีประสบการณ์และรับสุขสิ่งที่ลับลึกและศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เราได้รับความรอดทางอินทรียภาพและเพื่อให้พระองค์ได้แผ่ขยายออกไปผ่านการประกาศกิตติคุณแห่งสันติสุขไปทั่วทุกแห่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่บนโลก (อฟ.2:14–17; 6:15; เทียบ มธ.24:14) เพื่อเราจะกลายเป็นคนใหม่คนเดียวในความเที่ยงแท้ เพื่อจะเป็นเจ้าสาวที่มีชัยชนะของพระองค์.