I. เอเฟโซ 4:22 กล่าวว่า “ให้ท่านถอดทิ้งคนเก่าที่ประพฤติตามลักษณะของชีวิตในอดีตไปเสีย”:
1. “คนเก่า” ชี้ถึงชีวิตธรรมชาติของเราซึ่งอยู่ในจิตของเรา; คนเก่าก็คือสิ่งที่เราเป็นซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างไว้แต่ได้ตกต่ำไปโดยความบาป — รม.6:6:
(1) คนเก่าพร้อมด้วยทุกสิ่งที่ครอบคลุมอยู่ในคนเก่าล้วนเป็นสิ่งที่ก่อความเสียหายให้คริสตจักร; ที่ไหนมีคนเก่า ที่นั่นก็ไม่อาจมีคริสตจักร; นี่ก็หมายความว่าสิ่งที่เราเป็น, สิ่งที่เรามี, และสิ่งที่เราทำ ล้วนทำให้การดำเนินชีวิตคริสตจักรเป็นไปไม่ได้.
(2) ถ้าเรายังคงมีชีวิตเป็นอยู่ตามคนเก่าต่อไป ชีวิตคริสตจักรย่อมจะเสียหายอย่างร้ายแรง กระทั่งต้องสิ้นสุดลง; ถ้าเราถอดทิ้งคนเก่าพร้อมด้วยลักษณะของชีวิตในอดีตไปเสีย เราจะมีการดำเนินชีวิตคริสตจักรที่ดีเลิศ คือการดำเนินชีวิตคริสตจักรที่เป็นภาพย่อของกรุงเยรูซาเล็มใหม่; ในการดำเนินชีวิตคริสตจักรเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแตกแยก.
2. สิ่งที่เปิดเผยเป็นนัยอยู่ใน “ลักษณะของชีวิต” นั้นมีอยู่มากมาย; ทุกประเทศในโลกและท่ามกลางผู้คนทุกหมู่เหล่าล้วนมีลักษณะเฉพาะในการดำเนินชีวิต:
(1) ลักษณะของชีวิตในอดีตครอบคลุมถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา; เราต้องถอดทิ้งไปซึ่งทุกสิ่งที่เราเป็น, ทุกสิ่งที่เราทำ, และทุกสิ่งที่เรามี; เราต้องถอดทิ้งไปซึ่งวิถีชีวิตของเราและวัฒนธรรมของเรา; เรายิ่งมีวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง เราก็ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น — เทียบ อฟ.4:31–32; กซ.3:12–14.
(2) ถ้าเราปรารถนาที่จะถูกเปลี่ยนใหม่จริงๆ เราก็ต้องถอดทิ้งไปซึ่งลักษณะของชีวิตในอดีตซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเราและวัฒนธรรมของเรา; ในคนใหม่นั้น ชาวกรีกหรือชาวยิว, พวกไร้วัฒนธรรมหรือพวกสิเธีย, ทาสหรือไทล้วนไม่มีทางดำรงอยู่ได้ เพราะลักษณะของชีวิตในอดีตที่พบเห็นอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ล้วนถูกถอดทิ้งไปแล้ว.
(3) ทุกครั้งที่เรากลับไปสู่ลักษณะของชีวิตแบบเก่า เราจะรับรู้ได้อย่างอัตโนมัติว่าภายในของเรามืดมนและถูกตัดขาดจากชีวิตของพระเจ้า — อฟ.4:17–19.
(4) ถ้าอยากมีชีวิตคริสตจักร ผู้คนที่มาจากวัฒนธรรมและประเทศที่แตกต่างกันจะต้องถอดทิ้งคนเก่าที่แปรสภาพเป็นรูปธรรมอยู่ในลักษณะของชีวิตในอดีตของเขาไปเสีย; ในชีวิตคริสตจักรย่อมมีที่ว่างไว้สำหรับพระคริสต์เท่านั้น — กซ.3:10–11.
(5) การเห็นสิ่งที่เรียกว่าคริสตจักรถูกตั้งขึ้นตามสัญชาตินั้นช่างน่าสมเพชยิ่งนัก; แทนที่จะให้ความล้ำค่า เราควรปฏิเสธมรดกทางวัฒนธรรมของเราไปเสีย; เราย่อมชื่นชอบชีวิตในสังคมแบบเก่าของเราอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ แต่วิถีชีวิตของเราจะต้องกลายเป็นสิ่งใหม่อย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านนิสัย, ลักษณะ, และภาคปฏิบัติ.
II. ในเมื่อคนใหม่ใน อฟ.2:15–16 เป็นมนุษย์แห่งกลุ่มชน คนใหม่ใน 4:24 ก็ต้องเป็นกลุ่มชนด้วย; ถ้าว่าตาม อฟ.4:24 เราจำเป็นต้องสวมใส่คนใหม่ซึ่งถูกเนรมิตสร้างขึ้นมาแล้วในพระคริสต์:
1. ในการรับบัพติศมา เราได้ถอดทิ้งคนเก่าซึ่งถูกตรึงไว้ร่วมกับพระคริสต์และถูกฝังไปแล้ว; ในการรับบัพติศมานั้น เรายังได้สวมใส่คนใหม่ด้วย — ข้อ 22–24; รม.6:6, 4.
2. การถอดทิ้งคนเก่าและการสวมใส่คนใหม่ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ได้สำเร็จสมบูรณ์ไปแล้ว; บัดนี้เราต้องนำข้อเท็จจริงเหล่านี้ไปประสบการณ์และแปรสภาพให้เป็นจริงโดยการถูกเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณแห่งความคิดของเรา — อฟ.4:23:
(1) การถอดทิ้งคนเก่าคือการปฏิเสธและละทิ้งตัวเองที่เก่าแก่ของเราโดยนำกางเขนไปปรับใช้กับตัวเอง — ข้อ 22; มธ.16:24.
(2) การสวมใส่คนใหม่คือการดำเนินชีวิตพระคริสต์และสำแดงพระคริสต์ใหญ่ขึ้นผ่านการหล่อเลี้ยงที่ครบสมบูรณ์แห่งพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ (ฟป.1:19–21ก); นี่คือการนำสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำสำเร็จสมบูรณ์ไปแล้วในการเนรมิตสร้างคนใหม่ไปปรับใช้ (อฟ.2:15; 4:24).
3. วิญญาณของเราที่ผสมกลมกลืนกับพระวิญญาณของพระเจ้าจะต้องกลายเป็นวิญญาณแห่งความคิดของเรา (ข้อ 23); เช่นนี้ การดำเนินชีวิตก็จะเป็นไปโดยวิญญาณทั้งหมด และทุกสิ่งที่เราทำก็จะเป็นไปตามวิญญาณ; ขณะที่เราถูกเปลี่ยนใหม่โดยวิญญาณนี้ เราก็ได้สวมใส่คนใหม่.
4. เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามวิญญาณที่ผสมกลมกลืนซึ่งกำลังแผ่ขยายเข้าสู่ความคิดและเติมเต็มความคิดของเรา; เมื่อเป็นเช่นนี้ การดำเนินชีวิตประจำวันของคนใหม่ก็จะอยู่ในวิญญาณแห่งความคิด; นี่คือเคล็ดลับของชีวิตคริสตจักร — ข้อ 23.
5. คนใหม่นั้นอยู่ในวิญญาณของเรา; หนทางที่จะสวมใส่คนใหม่ก็คือการให้วิญญาณของเรา (ที่ผสมกลมกลืนกับพระวิญญาณนั้น) ซึ่งมีพระเจ้า, ที่ประทับของพระเจ้า, และคนใหม่อยู่ภายในนั้น ได้กลายเป็นวิญญาณแห่งความคิดของเรา — 2:22; 4:23:
(1) การที่วิญญาณได้กลายเป็นวิญญาณแห่งความคิดของเรานั้นหมายความว่า วิญญาณได้ชี้นำ, ควบคุม, มีอิทธิพลเหนือ, ใช้อำนาจปกครอง, และถือครองความคิดของเรา (เทียบ 1กธ.2:15–16; 2กธ.2:13; 10:4–5); เมื่อวิญญาณชี้นำความคิดของเรา ทั้งตัวของเราก็อยู่ภายใต้การควบคุมแห่งวิญญาณของเรา.
(2) เราสวมใส่คนใหม่ไปมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณของเราชี้นำตัวเราได้มากแค่ไหน (1กธ.2:15); เมื่อวิญญาณของเรามีอำนาจเหนือเราและชี้นำเราแล้วก็จะไม่มีฐานะให้กับวัฒนธรรม, ความเห็น, หรือกฎเกณฑ์อีกต่อไป; เมื่อนั้นจะไม่มีที่ว่างสำหรับหนทางของเราอีก เพราะทั้งตัวของเราล้วนอยู่ใต้อำนาจ, ถูกควบคุม, กำกับ, และชี้นำโดยวิญญาณของเรา.
(3) วิญญาณที่ผสมผลมกลืนยิ่งแทรกซึม, ซาบซ่าน, และถือครองความคิดของเรา เราก็ยิ่งยอมให้ความคิดของพระคริสต์กลายเป็นความคิดของเรา — ฟป.2:5;
1กธ.2:16; รม.12:2.
6. เมื่อเราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า พระวิญญาณผู้ประทานชีวิตก็เสด็จเข้าสู่วิญญาณของเรา โดยนำเอาคนใหม่ซึ่งเป็นผลผลิตที่สำเร็จแล้วมาพร้อมกับพระองค์ด้วย; บัดนี้คนใหม่จะต้องซาบซ่านและแผ่ขยายเข้าสู่ทุกส่วนของตัวเรา; การแผ่ขยายนี้เป็นทั้งการสวมใส่คนใหม่และการเปลี่ยนใหม่.
7. เราไม่ควรมีชีวิตเป็นอยู่ตามความไร้สาระแห่งความคิด แต่ควรเป็นอยู่ตามวิญญาณแห่งความคิด; นี่คือกุญแจที่นำไปสู่การดำเนินชีวิตประจำวันของคนใหม่คนเดียวแห่งกลุ่มชน เป็นเคล็ดลับที่นำไปสู่การดำเนินชีวิตคริสตจักรที่เต็มไปด้วยลักษณะเฉพาะของพระเจ้า, สุคนธรสของพระคริสต์, และความเป็นหนึ่งของพระวิญญาณนั้น — อฟ.4:3–4, 17–18, 23–24.
8. โดยการที่เรารักองค์พระผู้เป็นเจ้าและโดยการฝึกฝนวิญญาณของเราในการอธิษฐานและการอ่านพระคำทุกวัน ความคิดของเราจึงถูกเติมเต็มด้วยวิญญาณที่ผสมกลมกลืน; สิ่งนี้ย่อมทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไปและเปลี่ยนใหม่; การที่เราถูกเปลี่ยนใหม่ในความคิดของเราคือการกำจัดทัศนคติเก่าๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตมนุษย์ และถูกทำให้ใหม่ขึ้นโดยคำสอนในพระคัมภีร์และการส่องสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ — บพส.119:105, 130; 2ตธ.3:15–17; พบญ.17:18–20.
9. ทางเดียวที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริงในยุคนี้ได้เพื่อจะได้คนใหม่คนเดียวที่อยู่ในความเที่ยงแท้ ก็คือเราทุกคนต้องยินดีรับการเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณแห่งความคิดของเรา.
III. ประเด็นศูนย์กลางในถ้อยคำที่เปาโลพูดกับชาวโกโลซายในเรื่องการเปลี่ยนใหม่แห่งความคิดจนมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยมถึงพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายาของพระเจ้า; คนใหม่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นมาแล้วในวิญญาณของเรา และกำลังถูกเปลี่ยนใหม่ในความคิดของเราจนมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยมตามพระฉายาของพระคริสต์ — อฟ.2:15; กซ.3:10–11:
1. เนื่องจากคนใหม่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นโดยใช้ตัวเราซึ่งเป็นฝ่ายสิ่งทรงสร้างเก่า คนใหม่จึงจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนใหม่; การเปลี่ยนใหม่นี้เกิดขึ้นในความคิดของเราเป็นสำคัญ ดังที่บ่งชี้ได้จากวลี “จนมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม” — ข้อ 10.
2. การเนรมิตสร้างคนใหม่ตามอย่างพระเจ้านั้นสำเร็จครบถ้วนไปแล้ว แต่ในประสบ-การณ์ของเรานั้น คนใหม่กำลังถูกเปลี่ยนใหม่ไปทีละเล็กทีละน้อย จนมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม; เรายิ่งสวมใส่คนใหม่ เราก็ยิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ตามสิ่งทรงเป็นของพระเจ้า และยิ่งมีพระฉายาของพระองค์อันเป็นการสำแดงถึงสิ่งทรงเป็นของพระองค์ — ข้อ 10.
3. การเปลี่ยนใหม่คือการมีองค์ประกอบของพระเจ้าเพิ่มเข้ามาในสิ่งที่เราเป็นเพื่อแทนที่และกำจัดองค์ประกอบเก่าของเราออกไป — วว.21:5ก; 2กธ.5:17; รม.12:2; 2กธ.4:16:
(1) ความคิดอ่านฝ่ายธรรมชาติตามลักษณะประจำชาติของเรานั้นได้รับการอบรมสั่งสอนและก่อตัวขึ้นมาตามภูมิหลังในเชื้อชาติและวัฒนธรรมของเรา; นี่คือสิ่งขัดขวางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการปรากฏออกมาในความเป็นจริงของคนใหม่.
(2) ถ้าจะให้คนใหม่ปรากฏออกมาอย่างครบบริบูรณ์ เราต้องมีประสบการณ์ต่อการให้ความคิดของเราถูกเปลี่ยนใหม่อย่างถี่ถ้วน ซึ่งก็คือความคิดที่ก่อตัวขึ้นมาตามลักษณะประจำชาติและวัฒนธรรมของเรา.
4. ความใหม่คือพระเจ้า ดังนั้นการถูกทำให้ใหม่ก็คือการกลายเป็นพระเจ้าในด้านชีวิตและนิสัย แต่ไม่ใช่ในด้านฐานันดรความเป็นพระเจ้า:
(1) พระเจ้าทรงใหม่ตลอดกาล และพระองค์ทรงนำเอาธาตุแท้ที่ใหม่อยู่เสมอของพระองค์มาซึมซาบเข้าสู่สิ่งที่เราเป็นเพื่อทำให้ทั้งตัวของเราถูกเปลี่ยนใหม่ — รม.12:2; กซ.3:10.
(2) พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปลี่ยนใหม่เราโดยการทำให้ส่วนต่างๆ ทางภายในของเราซึมซาบไปด้วยคุณลักษณะของพระเจ้าซึ่งใหม่ตลอดกาล, ไม่มีทางเก่าไป, และคงอยู่ถาวรโดยไม่เปลี่ยนแปรไป — วว.21:5ก.
(3) พระวิญญาณผู้ทำการเปลี่ยนใหม่ทรงแจกปันธาตุแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของคนใหม่เข้าสู่สิ่งที่เราเป็นเพื่อทำให้เรากลายเป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ — ตต.3:5; 2กธ.5:17; ฆต.6:15.
IV. เราต้องเป็นผู้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกวันๆ ด้วยการหล่อเลี้ยงที่ใหม่สดของชีวิตแห่งการเป็นขึ้นเพื่อจะแทนที่วัฒนธรรมของเราและเพื่อจะกลายเป็นคนใหม่คนเดียวในความเที่ยงแท้โดยการถูกทำให้ใหม่เหมือนอย่างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ — 2กธ.4:16:
1. การสวมใส่คนใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็สำเร็จนิรันดร์; ตรงกันข้าม นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นตลอดชีวิต เป็นขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะดำเนินไปตลอดชีวิตคริสเตียนของเรา.
2. ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วอย่างเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคนใหม่นั้นควรดำเนินชีวิตในสภาพใหม่ของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในการเป็นขึ้นและปรนนิบัติในสภาพใหม่แห่งวิญญาณ — รม.6:4; 7:6.
3. ผู้เชื่อทั้งหลายควรรับการเปลี่ยนใหม่เพื่อจะถูกทำให้ใหม่เหมือนอย่างกรุงเยรูซาเล็มใหม่เพราะพวกเขาทุกคนก็กำลังกลายเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่โดยการดำเนินชีวิตในสภาพใหม่ของชีวิต (6:4) และก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่โดยการปรนนิบัติในสภาพใหม่ของวิญญาณ (7:6).
4. การถูกเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณแห่งความคิดของเรานั้นมีไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันของเราจนมีพระฉายาของพระคริสต์ ผ่านการบั่นทอนมนุษย์ภายนอกของเราให้ทรุดโทรมไปโดยการทนทุกข์ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของเราเพื่อให้มนุษย์ภายในของเราได้เปลี่ยนใหม่ — 2กธ.4:16:
(1) ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางการทนทุกข์ เราจำเป็นต้องรับการเปลี่ยนใหม่ มิฉะนั้นการทนทุกข์ที่เราเผชิญก็จะไม่มีความหมายใดๆ ต่อเราเลย; ในตัวเรานั้นมีที่ลี้ภัยอยู่แห่งหนึ่ง — วิญญาณของเรา — บพส.91:1; 27:5; 31:20; ยซย.32:2;
2ตธ.4:22; ฆต.6:17–18.
(2) พระเจ้าทรงจัดแจงสภาพแวดล้อมให้เราเพื่อบั่นทอนมนุษย์ภายนอกของเราให้ทรุดโทรมและให้มนุษย์ภายในของเราถูกเปลี่ยนใหม่โดยการหล่อเลี้ยงที่ใหม่สดของพระคริสต์ผู้เป็นพระวิญญาณในฐานะชีวิตแห่งการเป็นขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อยทุกวันๆ — 2กธ.4:16.
5. ถ้าจะรับการเปลี่ยนใหม่ทุกวันๆ เราก็จำเป็นต้องถูกทำให้เฟื่องฟูทุกๆ ยามเช้า — มธ.13:43; ลก.1:78–79; สภษ.4:18; วนฉ.5:31; 2กธ.4:16.
6. เรารับการเปลี่ยนใหม่ทุกวันๆ ผ่านสี่สิ่งดังต่อไปนี้: กางเขน (ข้อ 10–12, 16–18); พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งให้เราได้รับการปรับสภาพ, สร้างใหม่, ตกแต่งใหม่ด้วยชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ (ตต.3:5); วิญญาณที่ผสมกลมกลืนของเรา (อฟ.4:23); และพระคำอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า (5:26).
7. เราต้องมาร่วมโต๊ะงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้าในความใหม่สด (มธ.26:29); องค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่รับโต๊ะงานเลี้ยงที่เก่าแก่; เราจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่โดยเรียนรู้ที่จะทูลว่า “ขอโทษด้วย โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า.”
V. การเปลี่ยนใหม่ของคนใหม่นั้นขึ้นอยู่กับการที่เราแสวงหาสิ่งที่อยู่เบื้องบน — กซ.3:1–2; อฟ.2:5–6:
1. การแสวงหาสิ่งที่อยู่เบื้องบนคือการตอบรับและสะท้อนการกระทำกิจของพระคริสต์ที่อยู่ในการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระองค์ — ฮร.2:17; 4:14; 7:26; 8:1–2; วว.5:6; กซ.3:1–2:
(1) การส่งถ่ายจากพระคริสต์ที่อยู่ในสวรรค์มายังเราทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นกำลังดำเนินไปโดยพระวิญญาณผู้ครอบคลุมสรรพสิ่งที่อยู่ในวิญญาณของเรา — อฟ.1:19, 22–23; 2:22:
ก. วิญญาณของเราคือปลายทางที่ได้รับการส่งถ่ายอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพระที่นั่งของพระเจ้าซึ่งอยู่ในสวรรค์คือต้นทางที่ทำการส่งถ่าย — วว.5:6.
ข. โดยการหันสู่วิญญาณของเรา เราก็ถูกยกขึ้นสู่สวรรค์; เนื่องจากการส่งถ่ายจากพระที่นั่งของพระเจ้าในสวรรค์เข้าสู่วิญญาณของเรา เมื่อเรามีประสบ-การณ์และรับสุขพระคริสต์บนแผ่นดินโลก ในเวลานั้นเราก็อยู่ในสวรรค์ไปด้วย — 4:1–2.
(2) ในการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระคริสต์ พระองค์ทรงเลี้ยงดูผู้คน และเราก็จำเป็นต้องร่วมมือกับพระองค์โดยการเลี้ยงดูผู้คน; ถ้าเราต้อนรับการสามัคคีธรรมนี้ บนแผ่นดินโลกก็จะเกิดการเฟื่องฟูใหญ่ซึ่งจะนำองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมา — 1ปต.5:1–4; เทียบ มธ.9:36; 10:1–6; ยฮ.21:15–17; 1ปต.2:25; ฮร.13:20.
2. ถ้าเราหันสู่พระคริสต์ผู้อยู่ฝ่ายสวรรค์พร้อมด้วยการกระทำกิจทั้งปวงของพระองค์และตั้งความคิดของเราไว้ที่สิ่งเหล่านี้ การเปลี่ยนใหม่ของคนใหม่ก็จะเกิดขึ้นโดยปกติวิสัย — 8:1–2; 12:2; กซ.3:2.
3. เรื่องนี้ทำให้จุดมุ่งหมายของพระเจ้าได้สำเร็จสุดยอด ซึ่งก็คือการทำให้ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นคนใหม่ในฐานะสิ่งทรงสร้างใหม่ โดยจะสำเร็จสุดยอดในกรุงเยรูซาเล็มใหม่; คนใหม่อันเป็นผลงานชิ้นเอกในการงานของพระเจ้านั้นคือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในจักรวาลนี้ เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของพระเจ้า — ข้อ 10–11; 2กธ.5:17; ฆต.6:15–17; อฟ.2:10, 15.
4. เป้าหมายของพระเจ้าคือการได้มาซึ่งคนใหม่คนเดียวซึ่งในที่สุดก็จะสำเร็จสุดยอดในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งเป็นการสำเร็จสุดยอดในขั้นสุดท้ายของคนใหม่คนเดียว.