I. มาตรฐานในการดำเนินชีวิตของเราจะต้องไม่เป็นไปตามวัฒนธรรมของเรา แต่เป็นไปตามความเที่ยงแท้ซึ่งมีอยู่ในพระเยซู ซึ่งก็คือความเที่ยงแท้ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตออกมาในขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก — อฟ.4:20–21:
1. หนทางที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตบนแผ่นดินโลกคือหนทางที่คนใหม่คนเดียวควรจะดำเนินชีวิตในวันนี้ — มธ.11:28–30; ยฮ.6:57; 4:34; 5:17, 19, 30; 6:38; 17:4.
2. ความเที่ยงแท้ซึ่งมีอยู่ในพระเยซู (อฟ.4:21) ชี้ถึงสภาพการณ์จริงในการดำเนินชีวิตของพระเยซูที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือกิตติคุณสี่เล่ม; พระเยซูทรงดำเนินชีวิตที่กระทำทุกสิ่งในพระเจ้า, ร่วมกับพระเจ้า, และเพื่อพระเจ้า; พระเจ้าทรงอยู่ในการดำเนินชีวิตของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นหนึ่งกับพระเจ้า.
3. พระเยซูทรงดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสมอ; ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์แห่งความเที่ยงแท้นั้นได้ถูกแสดงออกมาเสมอในการดำเนินชีวิตของพระเยซู — ข้อ 24:
(1) การดำเนินชีวิตมนุษย์ของพระเยซูเป็นไปตามความเที่ยงแท้ คือเป็นไปตามตัวของพระเจ้าเอง ซึ่งเต็มไปด้วยความชอบธรรมและความบริสุทธิ์.
(2) คนใหม่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์แห่งความเที่ยงแท้นี้ — พระเจ้าที่ได้รับสง่าราศีและสำแดงออก.
4. เราต้องเรียนรู้ถึงพระคริสต์และถูกสอนในพระองค์เพื่อจะดำเนินชีวิตแห่งความเที่ยงแท้; การเรียนรู้ถึงพระคริสต์ก็คือการถูกใส่ไว้ในแม่แบบแห่งแบบอย่างของพระคริสต์ ซึ่งก็คือการถูกถอดแบบตามพระฉายาของพระคริสต์ — ข้อ 20–21; รม.8:28–29; 2ยฮ.1; ยฮ.4:23–24.
5. ในฐานะบุคคลแห่งกลุ่มชน คนใหม่ควรดำเนินชีวิตแห่งความเที่ยงแท้ คือความเที่ยงแท้ซึ่งมีอยู่ในพระเยซู — การดำเนินชีวิตที่สำแดงพระเจ้า.
6. ถ้าเราดำเนินชีวิตตามวิญญาณแห่งความคิดของเรา เราก็จะมีการดำเนินชีวิต ประจำวันของคนใหม่แห่งกลุ่มชน — การดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความเที่ยงแท้ซึ่งมีอยู่ในพระเยซู — อฟ.4:23.
II. การดำเนินชีวิตของคนใหม่คนเดียวควรเป็นเหมือนกับการดำเนินชีวิตของพระเยซูอย่างสิ้นเชิง; เราต้องดำเนินชีวิตของมนุษย์พระเจ้า เพื่อคนใหม่คนเดียวในฐานะมนุษย์พระเจ้าแห่งกลุ่มชน — ฟป.1:19–21ก; 3:10; อฟ.4:20–21; เทียบ 1ยฮ.4:17 และคำอธิบาย 5:
1. การดำเนินชีวิตมนุษย์ของพระคริสต์คือมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตพระเจ้า เพื่อสำแดงออกซึ่งคุณลักษณะของพระเจ้าในคุณธรรมแห่งสภาพมนุษย์; คุณธรรมแห่งสภาพมนุษย์ของพระองค์นั้นถูกเติมเต็ม, ผสมกลมกลืน, และซาบซ่านด้วยคุณลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ — ลก.1:26–35; 7:11–17; 10:25–37; 19:1–10:
(1) แม้องค์พระเยซูเจ้าจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ก็ทรงดำเนินชีวิตโดยพระเจ้า — ยฮ.6:57; 5:19, 30; 6:38; 8:28; 7:16–17.
(2) องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตพระเจ้าและสำแดงพระเจ้าในทุกสิ่ง; ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่เป็นการกระทำของพระเจ้าที่ออกมาจากภายในพระองค์และผ่านพระองค์ — 14:10.
(3) กิตติคุณมาระโกเปิดเผยว่าการดำเนินชีวิตขององค์พระเยซูเจ้านั้นเป็นไปตามแผนการบริหารแห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้า และมีเพื่อแผนการบริหารแห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง.
2. ในฐานะที่เป็นการขยายออก, การเพิ่มพูน, ผลิตภัณฑ์ถอดแบบ, และการสืบสานของมนุษย์พระเจ้าคนแรก เราควรจะดำเนินชีวิตประเภทเดียวกันกับพระองค์ — 1ยฮ.2:6:
(1) การดำเนินชีวิตมนุษย์พระเจ้าขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตั้งแม่แบบสำหรับการดำเนินชีวิตมนุษย์พระเจ้าของเราไว้แล้ว — ถูกตรึงตายเพื่อจะมีชีวิตเป็นอยู่ เพื่อให้พระเจ้าถูกสำแดงอยู่ในสภาพมนุษย์ — ฆต.2:20.
(2) เราต้องปฏิเสธตัวเอง, ถอดแบบการตายของพระคริสต์, สำแดงพระองค์ใหญ่ขึ้นโดยการหล่อเลี้ยงที่ครบสมบูรณ์ของพระวิญญาณของพระองค์ — มธ.16:24; ฟป.3:10; 1:19–21ก.
(3) เราต้องปฏิเสธละทิ้งการพยายามอบรมปลูกฝังตนเอง และปรับโทษการก่อสร้างมนุษย์ธรรมชาติขึ้นมา; เราต้องตระหนักว่าคุณธรรมของคริสเตียนนั้นมีความเกี่ยวข้องในด้านธาตุแท้กับชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์, พระนิสัยอันศักดิ์สิทธิ์, และตัวของพระเจ้าเอง — ฆต.5:22–23.
(4) บัดนี้พระองค์ผู้ทรงดำเนินชีวิตมนุษย์พระเจ้านั้นทรงเป็นพระวิญญาณนั้นที่ดำเนินชีวิตอยู่ในเราและผ่านเรา; เราไม่ควรยอมให้สิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์ผู้นี้มาเติมเต็มเราและยึดครองเรา — 2กธ.3:17; 13:5; อฟ.3:16–19.
(5) เราต้องเปิดทั้งตัวเราออกต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อต้อนรับ (ในวิญญาณและบรรยากาศแห่งการอธิษฐาน) พระบัญชาที่พระองค์ทรงมีต่อเราใน ลก.6:36: “ท่านทั้งหลายจงมีความกรุณาเหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านทรงเต็มด้วยความกรุณา”; เราต้องติดต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความกรุณาทุกๆ ยามเช้า — พรท.3:22–23; รม.9:15 และคำอธิบาย 2; อซด.34:6; บพส.103:8; ลก.1:78–79; 10:25–37; รม.12:1.
III. ในขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ของการป้อนเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว พระองค์ทรงฝึกฝนเหล่าสาวกให้เรียนรู้จากพระองค์ — มธ.14:14–21; 11:28–30:
1. มัดธาย 14:19 กล่าวว่าพระองค์ทรงหยิบขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว และเมื่อพระองค์จะอวยพระพร พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์:
(1) การเงยพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ บ่งชี้ว่าพระองค์ทรงเงยพระพักตร์ดูแหล่งกำเนิดของพระองค์ ซึ่งก็คือพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์:
ก. กรณีนี้บ่งชี้ว่าพระองค์ทรงตระหนักว่า พระองค์ไม่ใช่แหล่งกำเนิดแห่งพระพร; พระบิดาซึ่งเป็นผู้ที่ใช้พระองค์มาต่างหากที่ควรจะเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพระพร ไม่ใช่ผู้ที่ถูกใช้มา — เทียบ รม.11:36.
ข. ไม่ว่าเราจะสามารถทำได้มากแค่ไหนหรือรู้ว่าจะทำสิ่งใดได้มากแค่ไหน เราก็ต้องตระหนักว่า เราต้องการการอวยพระพรของผู้ที่ใช้เรามาเหนือสิ่งที่เรากระทำ เพื่อเราจะสามารถเป็นช่องทางแห่งการหล่อเลี้ยงได้โดยการเชื่อพึ่งในพระองค์ ไม่ใช่ในตัวเราเอง — เทียบ มธ.14:19ข; อฤธ.6:22–27.
(2) การที่พระองค์เงยพระพักตร์ดูพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์นั้นบ่งชี้ว่าในฐานะที่ทรงเป็นพระบุตรที่พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ใช้มายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงเป็นหนึ่งกับพระบิดา, เชื่อพึ่งในพระบิดา — ยฮ.10:30:
ก. สิ่งที่เรารู้และทำได้นั้นไม่มีความหมายอะไรเลย; การเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อพึ่งในพระองค์จึงจะมีความหมายสำหรับทุกสิ่งในการปฏิบัติของเรา — เทียบ 1กธ.2:3–4.
ข. พระพรจะมาถึงก็ต่อเมื่อเราเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อพึ่งในพระองค์เท่านั้น — เทียบ 2กธ.1:8–9.
(3) องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งใดจากพระองค์เอง — ยฮ.5:19; เทียบ มธ.16:24:
ก. เราควรปฏิเสธตัวเองและไม่มุ่งหมายที่จะกระทำสิ่งใดจากตัวเราเอง แต่มุ่งหมายที่จะกระทำทุกสิ่งจากพระองค์.
ข. เราต้องฝึกฝนวิญญาณของเราอย่างต่อเนื่องในการปฏิเสธละทิ้งตัวเองและดำเนินชีวิตด้วยอีกชีวิตหนึ่งโดยการหล่อเลี้ยงที่ครบสมบูรณ์แห่งพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ — ฟป.1:19–21ก.
(4) องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงแสวงหาความตั้งใจของตนเอง แต่แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงใช้พระองค์มา — ยฮ.5:30ข; 6:38; มธ.26:39, 42:
ก. พระองค์ปฏิเสธละทิ้งแนวคิด, ความมุ่งหมาย, และพระประสงค์ของพระองค์เอง.
ข. เราทุกคนควรจะตื่นตัวเพื่อสิ่งเดียวนี้ — เมื่อเราถูกใช้ไปทำการงานบางอย่าง เราไม่ควรฉวยโอกาสที่จะแสวงหาเป้าหมายของเราเอง; เราควรจะแสวงหาแนวคิด, ความประสงค์, จุดหมาย, เป้าหมาย, และความมุ่งหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงใช้เรามา — เทียบ 1ตธ.5:2ข.
(5) องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงแสวงหาสง่าราศีของพระองค์เอง แต่ทรงแสวงหาสง่าราศีของพระบิดาผู้ทรงใช้พระองค์มา — ยฮ.7:18; 5:41; เทียบ 12:43:
ก. ความทะเยอทะยานคือการแสวงหาสง่าราศีของตัวเอง — เทียบ 3ยฮ.9.
ข. เราต้องเห็นว่าตัวเราเอง, ความประสงค์ของเรา, และความทะเยอทะยานของเราเป็น “หนอน” สามตัวใหญ่ที่มาทำลายการงานของเรา; เราต้องเรียนรู้ที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้.
2. ถ้าเราต้องการให้องค์พระผู้เป็นเจ้าใช้การเราได้เสมอในการฟื้นฟูของพระองค์ เราก็ต้องปฏิเสธตัวเอง, ปฏิเสธละทิ้งความประสงค์ของเรา, และทิ้งความทะเยอทะยานของเราไปเพราะเห็นแก่คนใหม่คนเดียว — มธ.16:24.