โดยทั่วไป เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน มักมีการใช้พลังงานสูงแทบทุกชนิด ดังนั้น ผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดให้เหมาะสมและถูกวิธี เพื่อท าให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่า ในที่นี้จะกล่าวถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ทั่วไปในครัวเรือน ดังนี้
เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำร้อนขึ้น โดยอาศัยการพาความร้อนจากขดลวดความร้อน (Electrical Heater) ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่าน ส่วนประกอบหลักของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า คือ
1) ตัวถังน้ำ จะบรรจุน้ำซึ่งจะถูกทำให้ร้อน
2) ขดลวดความร้อน เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความร้อนกับน้ า
3) อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าเมื่ออุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่ตั้งไว้
1) หมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบความปลอดภัยของเครื่อง
2) ตรวจดูระบบท่อน้ำและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึม
3) เมื่อพบความผิดปกติในการทำงานของเครื่อง ควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
4) ต้องมีการต่อสายดิน
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้สำหรับบ้านทั่วไปเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ขนาดไม่เกิน 4,500 วัตต์ก็น่าจะเพียงพอ ซึ่งจะช่วยทั้งประหยัดไฟฟ้าที่ใช้ในเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและปั๊มน้ำ
2) ตั้งอุณหภูมิน้ำไม่สูงจนเกินไป (ปกติอยู่ในช่วง 35 - 45 C)
3) ใช้หัวฝักบัวชนิดประหยัดน้ำ จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึง ร้อยละ 25 - 75
4) ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีถังน้ำภายในตัวเครื่องและมีฉนวนหุ้ม เพราะสามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่าชนิดที่ไม่มีถังน้ำภายใน ร้อยละ 10 - 20
5) ปิดวาล์วน้ำและสวิตช์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน
6) ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลาขณะฟอกสบู่อาบน้ำ หรือขณะสระผม
กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ในการต้มน้ำให้ร้อน ประกอบด้วยขดลวดความร้อน(Electrical Heater) อยู่ด้านล่างของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ(Thermostat) เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะเกิดความร้อน และถ่ายเทไปยังน้ำภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงจุดเดือด จากนั้นอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะตัดกระแสไฟฟ้าในวงจรหลักออกไป แต่ยังคงมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดความร้อน และแสดงสถานะนี้โดยหลอดไฟสัญญาณอุ่นจะสว่างขึ้น เมื่ออุณหภูมิของน้ำร้อนภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าลดลงจนถึงจุด ๆ หนึ่ง อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะทำงานโดยปล่อยให้กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดความร้อนเต็มที่ทำให้น้ำเดือดอีกครั้งกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าโดยทั่วไปที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะมีขนาดความจุตั้งแต่ 2 - 4ลิตร และใช้กำลังไฟฟ้าระหว่าง 500 - 1,300 วัตต์
1) เลือกซื้อรุ่นที่มีตรามาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
2) ใส่น้ำให้พอเหมาะกับความต้องการหรือไม่สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ เพราะจะทำให้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเกิดความเสียหาย
3) ระวังอย่าให้น้ำแห้ง หรือปล่อยให้ระดับน้ำต่ำกว่าขีดที่กำหนด เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
4) ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้น้ำร้อนแล้ว เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ควรเสียบปลั๊กตลอดเวลา แต่หากมีความต้องการใช้น้ าร้อนเป็นระยะ ๆ ติดต่อกัน เช่น ในที่ทำงานบางแห่งที่มีน้ำร้อนไว้สำหรับเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับแขก ก็ไม่ควรถอดปลั๊กออกบ่อย ๆ เพราะทุกครั้งเมื่อดึงปลั๊กออกอุณหภูมิของน้ำจะค่อย ๆ ลดลง กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าไม่สามารถเก็บความร้อนได้นาน เมื่อจะใช้งานใหม่ก็ต้องเสียบปลั๊ก และเริ่มต้มน้ าใหม่ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
5) อย่านำสิ่งใด ๆ มาปิดช่องไอน้ำออก
6) ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาพใช้งานได้เสมอ
7) ไม่ควรตั้งไว้ในห้องที่มีการปรับอากาศ
การดูแลรักษากระติกน้ำร้อนไฟฟ้าให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและป้องกันอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
1. หมั่นตรวจดูสายไฟฟ้าและขั้วปลั๊กให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสมอ109
2. ควรนำน้ำที่สะอาดเท่านั้นมาต้ม มิฉะนั้นผิวในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าอาจเปลี่ยนสีเกิดคราบสนิมและตะกรัน
3. หมั่นทำความสะอาดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน อย่าให้มีคราบตะกรัน ซึ่งจะเป็นตัวต้านทาน การถ่ายเทความร้อนจากขดลวดความร้อนไปสู่น้ำทำให้เวลาในการต้มน้ำเพิ่มขึ้นเป็นการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
4. เมื่อไม่ต้องการใช้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ควรล้างด้านในให้สะอาด แล้วคว่ำลงเพื่อให้น้ำออกจากตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า แล้วใช้ผ้าเช็ดด้านในให้แห้ง
5. การทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
- ตัวและฝากระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วเช็ดอย่างระมัดระวัง
- ฝาปิดด้านใน ใช้น้ำหรือน้ำยาล้างจานล้างให้สะอาด
- ตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดให้ทั่ว ล้างให้สะอาดด้วยน้ำโดยอย่าราดน้ำ ลงบนส่วนอื่นของตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า นอกจากภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเท่านั้น อย่าใช้ของมีคมหรือฝอยขัดหม้อขูดหรือขัดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน เพราะจะทำให้สารเคลือบหลุดออกได้
3. พัดลม พัดลมที่ใช้ในบ้านเป็นอุปกรณ์หลักที่ช่วยในการหมุนเวียนอากาศ และระบายความ ร้อนภายในบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพัดลมที่ใช้มีหลากหลายลักษณะและประเภทขึ้นอยู่กับการใช้งาน ส่วนประกอบหลักของพัดลม ได้แก่ ใบพัด ตะแกรงคลุมใบพัด มอเตอร์ไฟฟ้า สวิตช์ ควบคุมการท างาน และกลไกควบคุมการหมุนและส่าย ดังรูป
1. เลือกซื้อพัดลมที่เป็นระบบธรรมดา เพราะจะประหยัดไฟกว่าระบบที่มีรีโมทคอนโทรล หรือระบบไอน้ำ
2. เลือกซื้อยี่ห้อและรุ่นที่ได้รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์5
3. เลือกที่มีขนาดใบพัดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะสม และตรงกับความต้องการใช้งาน
4) เลือกใช้ความแรงของลมให้เหมาะกับความต้องการ ความแรงของลมยิ่งมากยิ่งเปลืองไฟ
5) ปิดพัดลมทันทีเมื่อไม่ใช้งาน
6) ในกรณีที่พัดลมมีระบบรีโมทคอนโทรลอย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้เพราะจะมีไฟฟ้าเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดเวลา
7) ควรวางพัดลมในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพราะพัดลมใช้หลักการดูดอากาศจากบริเวณรอบ ๆ ทางด้านหลังของตัวใบพัด แล้วปล่อยออกสู่ด้านหน้า เช่น ถ้าอากาศบริเวณรอบพัดลมมีการถ่ายเทดีไม่ร้อนหรืออับชื้น ก็จะได้รับลมเย็น รู้สึกสบาย และยังทำให้มอเตอร์สามารถระบายความร้อนได้ดีเป็นการยืดอายุการใช้งานอีกด้วย
การดูแลรักษาพัดลมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พัดลมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยยืดอายุการทำงาน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
1) หมั่นทำความสะอาดตามจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบพัด และตะแกรงครอบใบพัด อย่าให้ฝุ่นละอองเกาะจับ และต้องดูแลให้มีสภาพดีอยู่เสมอ อย่าให้แตกหัก ชำรุด หรือโค้ง งอ ผิดส่วน จะทำให้ลมที่ออกมามีความแรงของลมลดลง
2) หมั่นทำความสะอาดช่องลมตรงฝาครอบมอเตอร์ของพัดลม ซึ่งเป็นช่องระบายความร้อนของมอเตอร์ อย่าให้มีคราบน้ำมันหรือฝุ่นละอองเกาะจับ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของมอเตอร์ลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้น
โทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นภาพด้วยวงจร อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อน มีส่วนประกอบ ดังนี้
1) ส่วนประกอบภายนอก คือ ตัวโครงที่ห่อหุ้มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จอภาพซึ่งจะมี การเคลือบสารพิเศษทางด้านใน ปุ่มหรือสวิตช์ต่าง ๆ และช่องต่อสายอากาศ เป็นต้น
2) ส่วนประกอบภายใน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตัวรับเปลี่ยนสัญญาณที่มาในรูป ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นภาพและเสียง ส่วนประกอบของจอภาพและระบบเสียงรวมทั้งลำโพง เป็นต้น
ปริมาณพลังงานที่โทรทัศน์ใช้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขนาดของจอภาพ โดยขนาด จอภาพของโทรทัศน์ระบุด้วยความยาวเส้นทแยงของมุมจอภาพ โทรทัศน์แต่ละขนาดและแต่ละ ประเภทจะมีการใช้ไฟฟ้าแตกต่างกัน ยิ่งขนาดจอภาพใหญ่ก็จะใช้กำลังไฟฟ้ามาก
1) การเลือกใช้โทรทัศน์ควรคำนึงถึงความต้องการในการใช้งาน โดยพิจารณาจากขนาดและการใช้กำลังไฟฟ้า สำหรับเทคโนโลยีเดียวกัน โทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งกินไฟมากขึ้น
2) อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะโทรทัศน์จะมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยงระบบภายในอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองไฟ และอาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะเกิดฟ้าแลบได้
3) ปิดและถอดปลั๊กทันทีเมื่อไม่มีคนดู หากชอบหลับหน้าโทรทัศน์บ่อย ๆ ควรใช้โทรทัศน์ รุ่นที่ตั้งเวลาปิดโดยอัตโนมัติเพื่อช่วยประหยัดไฟฟ้า
4) หากชมโทรทัศน์ช่องเดียวกันควรดูด้วยกัน ประหยัดทั้งค่าไฟ และอบอุ่นใจได้อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว
5) เลิกเปิดโทรทัศน์ล่วงหน้าเพื่อรอดูรายการที่ชื่นชอบ เปิดดูรายการเมื่อถึงเวลาออกอากาศ
6) ไม่ควรปรับจอภาพให้สว่างมากเกินไป และไม่ควรเปลี่ยนช่องบ่อย เพราะจะทำให้หลอดภาพมีอายุการใช้งานลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น
การดูแลรักษาและใช้โทรทัศน์ให้ถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้โทรทัศน์เกิดความคงทนภาพที่ได้คมชัด และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ควรมีข้อปฏิบัติ ดังนี้
1) ควรวางโทรทัศน์ไว้ในจุดที่มีการถ่ายเทอากาศได้ดี เพื่อให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้สะดวก
2) หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่เกาะบนจอภาพโดยใช้ผ้านุ่มเช็ดตัวเครื่องโทรทัศน์ส่วนจอภาพควรใช้ผงซักฟอกอย่างอ่อน หรือน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำเช็ดเบา ๆ จากนั้นเช็ดด้วยผ้านุ่มให้แห้ง และต้องถอดปลั๊กออกก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง
5. เตารีดไฟฟ้า เตารีดไฟฟ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีใช้กันแทบทุกครัวเรือน หากเปรียบเทียบกับ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เตารีดจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูง การทราบแนวทางการเลือกซื้อ และใช้งานอย่างถูกวิธีจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ ในท้องตลาดเตารีดสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ เตารีดแบบธรรมดา แบบมีไอน้ำ และแบบกดทับ ส่วนประกอบและการทำงานเตารีดมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
1) ไส้เตารีดไฟฟ้า ทำมาจากโลหะผสมระหว่างนิกเกิลและโครเมียม ทำหน้าที่ให้ กำเนิดความร้อนเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า โดยความร้อนจะมากหรือน้อยขึ้นกับส่วนผสมของโลหะ และความยาวขดลวด
2) เทอร์มอสแตต ทำหน้าที่ปรับความร้อนของไส้เตารีดให้เท่ากับระดับที่ได้ตั้งไว้
3) แผ่นโลหะด้านล่างของเตารีด ทำหน้าที่เป็นตัวกดทับเวลารีด และกระจายความร้อน
ในการใช้เตารีดไฟฟ้าอย่างประหยัดพลังงาน เราไม่ควรที่จะลดปริมาณความร้อนที่ใช้ในการรีดลง แต่ควรใช้เตารีดไฟฟ้า รีดผ้าอย่างรวดเร็วที่ระดับความร้อนที่เหมาะสมกับความหนาและชนิดของผ้า รวมทั้งควรปฏิบัติดังนี้
1) เลือกซื้อเฉพาะเตารีดไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์ 5
2) เลือกซื้อขนาดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3)ควรเก็บผ้าที่รอรีดให้เรียบร้อย และให้ผ้ายับน้อยที่สุด
4)ควรแยกประเภทผ้าหนาและผ้าบาง เพื่อความสะดวกในการรีด
5) ควรรวบรวมผ้าที่จะรีดแต่ละครั้งให้มากพอ การรีดผ้าครั้งละชุดทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามาก
6) ไม่ควรพรมน้ำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้สูญเสียความร้อนจากการรีดมาก
7) ควรเริ่มรีดจากผ้าบาง ๆ หรือต้องการความร้อนน้อยก่อน จากนั้นจึงรีดผ้าที่ต้องการความร้อนสูง และควรเหลือผ้าที่ต้องการความร้อนน้อยส่วนหนึ่ง ไว้รีดในตอนท้าย
8) ควรถอดปลั๊กก่อนเสร็จสิ้นการรีด 3 - 4 นาที
1. ตรวจดูหน้าสัมผัสเตารีดไฟฟ้า หากพบคราบสกปรก ให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออก เพราะคราบสกปรกจะเป็นตัวต้านทานความร้อน ทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นในการเพิ่มความร้อน
2. สำหรับเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำกลั่นเพื่อป้องกันการเกิดตะกรัน ซึ่งตะกรันจะเป็นสาเหตุของการเกิดความต้านทานความร้อน
3. เมื่อเกิดการอุดตันของช่องไอน้ำซึ่งเกิดจากตะกรัน เราสามารถกำจัดได้โดยเติมน้ำส้มสายชูลงในถังเก็บน้ำของเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ แล้วเสียบสายไฟให้เตารีดร้อนเพื่อทำให้น้ำส้มสายชูกลายเป็นไอ จากนั้นเติมน้ำลงไป เพื่อล้างน้ำส้มสายชูออกให้หมด แล้วจึงใช้แปรงเล็ก ๆทำความสะอาดช่องไอน้ำ
4. การใช้เตารีดไฟฟ้าไปนาน ๆ แม้ว่าจะไม่เกิดการเสียหายชำรุด ก็ควรมีการตรวจหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในบางอย่าง รวมทั้งสายไฟที่ต่อกันอยู่ซึ่งอาจชำรุด เสื่อมสภาพ ทำให้วงจรภายในทำงานไม่สมบูรณ์
6. ตู้เย็น ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่มีใช้แพร่หลายในครัวเรือน เป็นอุปกรณ์ทำความเย็นเพื่อถนอม อาหารโดยการลดอุณหภูมิตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการเลือกและใช้ ตู้เย็นอย่างเหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ทำให้ภายในตู้เย็นเกิดความเย็น ประกอบด้วย
1. คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ในการอัดและดูดสารทำความเย็นให้หมุนเวียนในระบบของตู้เย็น
2. แผงทำความเย็น มีหน้าที่กระจายความเย็นภายในตู้เย็น
3. แผงระบายความร้อน เป็นส่วนที่ใช้ระบายความร้อนของสารทำความเย็นแผงระบายความร้อนนี้ติดตั้งอยู่ด้านหลังของตู้เย็น
4. ตัวตู้เย็นทำจากโลหะ และอัดฉีดโฟมอยู่ระหว่างกลาง เพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนจากภายนอก โดยปกติเราระบุขนาดของตู้เย็นเป็นคิว หรือลูกบาศก์ฟุต
5. อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิสวิตช์โอเวอร์โหลด พัดลมกระจายความเย็น ฯลฯ ความเย็นของตู้เย็นเกิดขึ้นจากระบบทำความเย็น เมื่อเราเสียบปลั๊กไฟฟ้าให้กับตู้เย็นคอมเพรสเซอร์จะดูดและอัดไอสารท าความเย็นให้มีความดันสูงขึ้น และไหลไปยังแผงระบาย ความร้อนเพื่อถ่ายเทความร้อนสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จากนั้นจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวไหลผ่านวาล์วควบคุมสารทำความเย็นเพื่อลดความดัน ไหลต่อไปที่แผงทำความเย็นเพื่อดูดความร้อนจากอาหารและเครื่องดื่มที่แช่อยู่ในตู้เย็น ณ จุดนี้สารทำความเย็นจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอ และกลับไปยังคอมเพรสเซอร์เพื่อเริ่มวงจรทำความเย็นใหม่อีกครั้ง
1) เลือกซื้อตู้เย็นที่ได้รับการรับรองฉลากเบอร์5
2) เลือกซื้อประเภทและขนาดให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3) ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มตามจำนวนครั้งของการเปิด - ปิดตู้เย็น เพราะเมื่อเปิดตู้เย็นความร้อนภายนอกจะไหลเข้าตู้เย็น ทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้คงเดิมตามที่ตั้งไว้
4) ถ้าอุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้น ปริมาณความร้อนจะถูกถ่ายเทเข้าไปในตู้เย็นมากขึ้นเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบทำความเย็น ดังนั้นจึงไม่ควรติดตั้งตู้เย็นใกล้กับแหล่งกำเนิดความร้อนใด ๆ หรือรับแสงอาทิตย์โดยตรง
5) ไม่เก็บอาหารในตู้เย็นมากเกินไป เพราะจะทำให้อุณหภูมิในตู้เย็นไม่สม่ำเสมอควรให้มีช่องว่าง เพื่อให้อากาศภายในไหลเวียนได้สม่ำเสมอ
6) ถ้านำอาหารที่มีอุณหภูมิสูงไปแช่ในตู้เย็นจะส่งผลกระทบดังนี้
(6.1) ทำให้อาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงเสื่อมคุณภาพหรือเสียได้
(6.2) หากตู้เย็นกำลังทำงานเต็มที่จะทำให้ไอสารทำความเย็นก่อนเข้าเครื่องอัดร้อนจนไม่สามารถทำหน้าที่หล่อเย็นคอมเพรสเซอร์ได้เพียงพอ และส่งผลให้อายุคอมเพรสเซอร์สั้นลง
(6.3) สูญเสียพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
7) เมื่อดึงปลั๊กออกแล้วไม่ควรเสียบปลั๊กใหม่ทันที เพราะเมื่อเครื่องหยุด สารทำความเย็นจากส่วนที่มีความดันสูงจะไหลไปทางที่มีความดันต่ำจนความดันภายในวงจรเท่ากันดังนั้นถ้าคอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานทันทีสารทำความเย็นยังไหลกลับไม่ทัน เครื่องจึงต้องออกแรงฉุดมากเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อยและแรงเสียดทาน ซึ่งจะส่งผลให้มอเตอร์ของเครื่องอัดทำงานหนักและเกิดการชำรุดหรืออายุการใช้งานสั้นลง
1. สำหรับตู้เย็นที่มีแผงระบายความร้อนควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อนตู้เย็นสม่ำเสมอ ถ้ามีฝุ่นเกาะสกปรกมาก จะระบายความร้อนไม่ดีมอเตอร์ต้องทำงานหนัก เปลืองไฟมากขึ้น
2. อย่าให้ขอบยางประตูมีจุดช ารุดหรือเสื่อมสภาพ เพราะความร้อนจะไหลเข้าตู้เย็นทำให้มอเตอร์ต้องท างานหนักและเปลืองไฟฟ้ามาก ตรวจสอบโดยเสียบกระดาษระหว่างขอบยางประตูแล้วปิดประตูถ้าสามารถเลื่อนกระดาษไปมาได้แสดงว่าขอบยางเสื่อมสภาพ ควรติดต่อช่างมาเปลี่ยนขอบยาง
3. อุปกรณ์ระบายความร้อน จะติดตั้งอยู่ด้านหลังตู้เย็น เพื่อให้สามารถระบายความร้อนได้ดีควรวางตู้เย็นให้มีระยะห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 10 ซม. ด้านบนอย่างน้อย 30 ซม. ด้านข้างอย่างน้อย 2 - 10 ซม.
หลอดไฟ เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่มีใช้กันทุกครัวเรือน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการ ดำรงชีวิต นอกจากประโยชน์ในเรื่องแสงสว่างแล้ว ยังสามารถใช้ในการตกแต่ง และสร้าง บรรยากาศอีกด้วย โดยหลอดไฟที่ใช้กันอยู่มีหลายชนิด มีคุณสมบัติในการให้แสงสว่างและทาง ไฟฟ้าต่างกัน ดังนั้นหากผู้ใช้รู้จักเลือกใช้หลอดไฟอย่างเหมาะสม จะทำให้สามารถประหยัด พลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายได้มาก เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้อย่างถูกต้อง ผู้ใช้ควรรู้จักคุณสมบัติ ของหลอดไฟก่อน ซึ่งคุณสมบัติของหลอดไฟต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนมากมักจะมีบอกอยู่ที่ข้างกล่อง หรือฉลากกำกับผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อจึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเลือกซื้อ 119 หลอดไฟประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ต่อไปนี้คือ ชนิด คุณสมบัติและลักษณะการใช้ของ หลอดไฟประเภทต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในบ้านพักและอาคารต่าง ๆ
หลอดไส้ มีหลักการทำงานง่าย ๆ คือ ในหลอดไส้จะมีขดลวดทังสเตนอยู่ภายในหลอด เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ขดลวดนี้จะเกิดความร้อนจนเป็นตัวจุดประกายไฟ ทำให้เกิดแสงสว่าง และจากปริมาณการไหลของกระแสไฟฟ้าจะทำให้ไส้หลอดร้อนจนไหม้ เสื่อมสภาพเร็ว มีอายุการใช้งานสั้น (ประมาณ 700-1,000 ชั่วโมง) และสิ้นเปลืองพลังงาน แม้หลอดไส้จะเป็นหลอดไฟที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็เริ่มมีผู้ผลิตหลอดไฟชนิดอื่นขึ้นมาทดแทน เพราะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า ใช้งานได้ยาวนาน และประหยัดไฟกว่า เช่น หลอดไฟ LED หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ และหลอดไฟ CFL
หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า หลอดนีออน มีหลักการทำงานคือ เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอด จะกระตุ้นอนุภาคปรอทและก๊าซอื่น ๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหลอด ให้ปล่อยพลังงานที่แผ่รังสีความร้อนออกมา เมื่อรังสีนี้กระทบกับสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ด้านในตัวหลอด จะเปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่มองเห็นได้ และเนื่องจากไม่ได้เปล่งแสงโดยอาศัยความร้อน จึงมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากกว่าและนานกว่าหลอดไส้ แต่การใช้งานจะต้องติดตั้งคู่กับชุดบัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์ และกำจัดได้ยากกว่าเพราะมีสารปรอทที่เป็นอันตราย
หลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์ (Compact Fluorescent Lamps : CFL) หรือหลอดตะเกียบ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้แทนหลอดไส้ในบ้านและอาคารพาณิชย์ มีขนาดเล็กกะทัดรัด มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าถึง 10,000 ชั่วโมง จึงประหยัดพลังงานมากกว่า และให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างที่สูงกว่า แต่ด้านในหลอดมีสารปรอทที่เป็นอันตราย จึงกำจัดได้ยากกว่าหลอดไส้
หลอดฮาโลเจน เป็นหลอดไส้ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นหลอดไส้ที่เติมก๊าซฮาโลเจน ได้แก่ โบรมีน หรือไอโอดีน เข้าไปเล็กน้อย ทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า หลอดไอโอดีนควอตซ์ หรือหลอดฮาโลเจนทังสเตน ซึ่งก๊าซฮาโลเจนจะช่วยเพิ่มความสว่าง ทำให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างสูงขึ้น ยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟได้ถึง 2,000 ชั่วโมง และมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับหลอดไส้ทั่วไป นอกจากนี้ยังให้แสงที่ถูกต้อง ไม่เพี้ยน จึงนิยมนำมาใช้กับการผลิตละครเวทีและสตูดิโอถ่ายภาพ หรืองานจัดแสดงสินค้า แต่ก็สามารถนำมาใช้ในบ้านได้ในพื้นที่บริเวณที่ต้องการแสงสว่างเป็นพิเศษ เช่น มุมอับ ห้องทำงาน เป็นต้น
หลอดไฟ LED กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะให้แสงสว่างและสีของแสงที่หลากหลาย ผลิตแสงสว่างได้ในปริมาณที่ต้องการ โดยใช้พลังงานน้อยลง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ามาก และกินไฟน้อยกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ
1) ส ารวจรูปทรงของหลอดไฟ เพื่อก าหนดการใช้งาน ทิศทางการให้แสง และองศาของแสง
2) ส ารวจขั้วหลอดที่ใช้ซึ่งมีแบบขั้วเกลียว ขั้วเกลียวเล็ก ขั้วเข็ม หรือขั้วเสียบ
3) ตรวจสอบว่า ต้องมีอุปกรณ์ใดที่ใช้กับหลอดไฟ หรือ โคมไฟ เช่น หม้อแปลง บัลลาสต์ สวิตช์หรี่ไฟ เป็นต้น
4) พิจารณาคุณสมบัติของหลอดไฟ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยคุณสมบัติของหลอดไฟที่ต้องน ามาพิจารณา มีดังนี้
- ค่าฟลักซ์การส่องสว่าง (Luminous Flux) เป็นปริมาณแสงสว่างทั้งหมดที่ได้จากแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยวัดเป็นลูเมน (lm)
- ค่าความสว่าง (Illuminance) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ตกกระทบบนวัตถุ(lumen) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อตารางเมตร (lm/sq.m.) หรือ ลักซ์(Lux) นั่นเองโดยทั่วไป อาจเรียกว่า ระดับความสว่าง (Lighting level) จึงเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้เพียงพอหรือไม่
- ค่าความเข้มการส่องสว่าง (Luminous Intensity) เป็นความเข้มของแสงที่ส่องออกมาจากวัตถุ โดยทั่วไปจะวัดเป็นจ านวนเท่าของความเข้มที่ได้จากเทียนไข 1 เล่ม จึงมีหน่วยเป็นแคนเดลา (Candela, cd)
- ค่าความส่องสว่าง (Luminance) เป็นตัวที่บอกปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ (candela) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น แคนเดลาต่อตารางเมตร (cd/sq.m.) บางครั้งจึงอาจเรียกว่า ความจ้า (Brightness)
- ค่าประสิทธิผล (Efficacy) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ออกมาต่อก าลังไฟฟ้าที่ใช้ มีหน่วยวัดเป็น ลูเมนต่อวัตต์(lm/w) หลอดที่มีค่าประสิทธิผลสูง แสดงว่า หลอดนี้ให้ปริมาณแสงออกมามากแต่ใช้ก าลังไฟฟ้าน้อย
- ค่าความถูกต้องของสี(Colour Rendering, Ra หรือ CRI) เป็นค่าที่ใช้บอกว่าหลอดไฟประเภทต่าง ๆ เมื่อแสงส่องสีไปบนวัตถุจะทำให้สีของวัตถุนั้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ไม่มีหน่วยแต่มักเรียกเป็น เปอร์เซ็นต์ (%) ตามค่าความถูกต้อง เช่น แสงอาทิตย์มีค่า Ra = 100 เพราะแสงอาทิตย์ให้สเปกตรัมครบทุกสี เมื่อส่องไปบนวัตถุจะไม่เห็นความผิดเพี้ยนของสีเป็นต้น
- ค่าอุณหภูมิสีของแสง (Color Temperature) สีของแสงที่ได้จากหลอดไฟเทียบกับสีที่เกิดจากการเผาวัตถุดำอุดมคติให้ร้อนที่อุณหภูมินั้น มีหน่วยเป็นเคลวิน (K) อุณหภูมิสีเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้มีความขาวมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงต่ าแสงที่ได้จะออกมาในโทนเหลืองหรือแดง ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงสูงแสงที่ได้จะออกมาในโทนขาวกว่า ในท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือก 3 โทนสีนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม คือ โทนสีของอุณหภูมิสีของแสง เพื่อให้สามารถได้แสงตามต้องการ โดยโทนสีของหลอดไฟในปัจจุบัน มีดังนี้
- สีวอร์มไวท์ (Warm White) ให้แสงสีแดงออกโทนส้ม เป็นโทนสีร้อนโทนอบอุ่น ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ ต่ ากว่า 3,000 เคลวิน
- สีคูลไวท์ (Cool White) ให้แสงสีจะเริ่มออกมาทางสีขาว เป็นโทนสีที่ดูเย็นสบายตา ดูค่อนข้างสว่างกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์ ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 3,000 -4,500 เคลวิน
- สีเดย์ไลท์ (Day Light) ให้แสงสีโทนออกขาวอมฟ้า แต่คล้ายแสงธรรมชาติตอนเวลากลางวัน ดังนั้นค่าความถูกต้องของสีจึงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์หรือสีคูลไวท์ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 4,500 - 6,500 เคลวิน ขึ้นไป
5) พิจารณาถึงค่าความสว่างที่เหมาะสม โดยสมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย ได้มีการกำหนดค่าความส่องสว่างที่เหมาะสมของแต่ละห้องในบ้าน ดังตาราง
6) พิจารณาโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หลอดไฟแต่ละชนิดจะใช้ พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกัน โดยหลอด LED จะประหยัดไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบการ ใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายของหลอดไฟทั้ง 3 แบบ ได้ดังตาราง
7) ควรเลือกซื้อหลอด LED หรือหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ ที่มีฉลากเบอร์ 5เนื่องจากกินไฟน้อย และมีอายุการใช้งานนาน
8) เลือกใช้หลอดไฟที่ได้มาตรฐาน
9) ลดจำนวนหลอดไฟในบริเวณที่อาศัยแสงธรรมชาติได้
10) ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน
11) ปิดสวิตช์ไฟ เมื่อไม่ใช้งาน
1) หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟ เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ควรทำความสะอาดอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปีหรือทุก ๆ 3 เดือน
2) สำหรับหลอดไฟที่เก็บไว้ ควรเก็บในบริเวณที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกันจนเกิดการชำรุดเสียหาย