เมื่อเดือนอ้าย พ.ศ. 2307 พม่ายกมาทัพเข้ามาตีหัวเมืองฝ่ายใต้ ไล่มาถึงเพชรบุรี กรุงศรีอยุธยาจึงส่งพระยาโกษาธิบดีและพระยาตากเป็นแม่ทัพไปรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ได้
ต่อมา พ.ศ. 2309 พม่ายกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง โดยตั้งค่ายมั่นจำนวน 27 ค่าย ไทยจัดทัพออกสู้รบทั้งหมด 6 ทัพ แต่การสู้รบของกองทัพไทยไม่ประสบผล พระยาเพชรบุรีตายในที่รบ ส่วนพระยาตากนำกองทัพต้านทัพพม่าที่นอกกำแพงกรุงฯ แต่เห็นว่าเกินกำลังจะต้านไว้ จึงคิดถอยกองกำลังเข้ากรุงฯ แต่เข้าไม่ทันเพราะประตูกรุงได้ปิดเสียก่อน จะหักหาญเข้ากรุง ก็จะถูกข้อหากบฏ
พระยาตากเห็นว่า ศึกกับพม่าครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาคงจะเสียทีเป็นแน่ เนื่องจากกำลังของฝั่งไทยอิดโรยลงมากจากการขาดเสบียงอาหาร ประกอบทั้งพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ พระมหากษัตริย์ในขณะนั้น ก็ทรงอ่อนแอ จึงตัดสินใจรวบรวมสมัครพรรคพวกทหารทั้งไทย และจีน จำนวน 500 คน ตีฝ่าวงล้อมทหารพม่า มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี
“...กรุงศรีอยุธยาล่มสลายลงใน พ.ศ. 2310 ผู้คนและทรัพย์สมบัติถูกกวาดต้อนไปเกือบหมดสิ้น
ชาวสยามแตกกันเป็นหลายกลุ่ม ต่างแก่งแย่ง ตั้งตนเป็นใหญ่...”
สมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังจากตีฝ่าวงล้อมทหารพม่า ก็มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทางบ้านโพธิ์สังหาร เมื่อฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่าได้แล้ว จึงนำสมัครพรรคพวกเดินทางไปนครนายก ปราจีนบุรี เข้ายึดเมืองระยอง ประกาศตั้งตนเป็นอิสระ
และส่งหนังสือไปยังพระยาจันทบุรี ใจความว่า บัดนี้เจ้าตากได้มาตั้งรวบรวมกำลังอยู่ที่เมืองระยอง มีความประสงค์จะยกเข้าไปรบพม่า แก้ไขให้พระนครพ้นจากอำนาจข้าศึก ขอให้พระยาจันทบุรีเห็นแก่บ้านเมือง มาช่วยกันปราบปรามข้าศึกให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองผาสุกดังแต่ก่อน ครั้งแรกพระยาจันทบุรีมีทีท่าจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามและเข้าร่วมด้วย แต่ภายหลังได้รับการยุยง จึงทำให้คิดจะตลบหลังเจ้าตาก
ดังนั้น เจ้าตากจึงตัดสินใจจะตีเอาเมืองจันทบุรี โดยก่อนบุกเข้าชิงเมืองได้สั่งโยธาทหารทั้งปวงให้
“...หุงอาหารรับพระราชทานแล้ว เหลือนั้นสั่งให้เทเสีย ต่อยหม้อข้าวหม้อแกงให้จงสิ้น
ในเพลากลางคืนวันนี้ตีเอาเมืองจันทบูรให้ได้ ไปหาข้าวกินเช้าเอาในเมือง ถ้ามิได้ก็ให้ตายเสียด้วยกันเถิด...”
เมื่อเข้ายึดเมืองจันทบุรีสำเร็จ ก็ตระเตรียมกองทัพ อาวุธยุทโปกรณ์ต่อเรือรบได้ 100 ลำเศษ กระทั่ง ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 (พ.ศ. 2310) ทรงโปรดให้ยกทัพเรือเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก เข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาที่เมืองสมุทรปราการ แล้วเข้าโจมตีค่ายพม่าที่เมืองบางกอกแตก จากนั้นจึงยกทัพไปโจมตีค่ายใหญ่ของพม่าที่โพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยาได้ชัยชนะ ทำให้พระองค์ยึดกรุงศรีอยุธยากลับคืนได้สำเร็จเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310
อู่ต่อเรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน จ.จันทบุรี
ทัพไทยภายใต้การนำของพระยาตากสิน
ที่มา : น ณ ปากน้ำ
ตามพระราชพงศาวดารเล่าว่า เมื่อยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่าได้ เจ้าตากได้สำรวจปราสาทราชวัง พบว่าส่วนใหญ่ปรักหักพัง จึงดำริจะปฏิสังขรณ์ให้ดีดังแต่ก่อน และจะรวบรวมไพร่ฟ้าเข้ามาอยู่ในพระนครตามเดิม กู้กรุงศรีอยุธยาให้กลับคืนเป็นราชธานีดังเก่า และจะเสด็จเข้าตั้งดำรงราชอาณาจักรสืบกษัตริย์ครอบครองรักษาแผ่นดินต่อไป
แต่คืนหนึ่งขณะบรรทมอยู่ ณ พระที่นั่งทรงปืน ทรงพระสุบินนิมิตว่า พระมหากษัตริย์แต่ก่อนมาขับไล่เสียมิให้อยู่ รุ่งเช้าจึงเล่าให้ขุนนางทั้งหลายฟัง แล้วดำรัสว่า เราคิดสังเวชเห็นว่าบ้านเมืองจะรกเป็นป่า จะมาช่วยปฏิสังขรณ์ให้บริบูรณ์ดีดังเก่า เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหนอยู่ เราชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรีอยู่เถิด แล้วจึงกวาดต้อนราษฎรและสมณพราหมณาจารย์ทั้งปวงกับทั้งโบราณขัตติยวงศ์ซึ่งยังเหลืออยู่ มาตั้งอยู่ที่เมืองธนบุรี
แต่ตามข้อสันนิษฐานเข้าใจว่า หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 กรุงศรีอยุธยาเสียหายหนักเกินกำลังไพร่พลของเจ้าตากขณะนั้นจะพิทักษ์รักษา และฟื้นฟูให้เป็นดังเดิม จึงทำให้ตัดสินใจย้ายมาตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเมืองขนาดเล็กเหมาะสมกับกำลังพลและประชากรในขณะนั้น
แผนที่เมืองธนบุรีบางกอก วาดโดยจารชนพม่า
และสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือที่ประชาชนเรียกกันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อปีชวด พ.ศ. 2311
และสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313
พระราชทานนามว่า
“กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร”