ที่มา : ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ภายหลังจากการปราบดาภิเษก พระราชภารกิจสำคัญลำดับแรกของสมเด็จพระเจ้าตากสิน คือ การสร้างชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น แต่การกอบกู้ชาติบ้านเมืองของพระองค์ในระยะแรกเริ่ม เต็มไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากประชาชนยังตกอยู่ในความหวาดกลัว และสภาพบ้านเมืองที่ถูกข้าศึกทำลายจนย่อยยับจนเกิดสภาวะจลาจลไปทั่วทุกหนแห่งในขณะนั้น ประกอบกับภาวะศึกสงครามก็ยังไม่ได้สงบลงอย่างแท้จริง ยังคงมีการตั้งตนเป็นใหญ่ของผู้นำชุมนุมต่าง ๆ ได้แก่ ชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) ชุมนุมเจ้าเมืองพิษณุโลก (เรือง) ชุมนุมเจ้าพิมาย (กรมหมื่นเทพพิพิธ) และชุมนุมเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (หนู) ดังนั้น การจะสร้างชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ในลำดับแรก พระองค์จึงทรงต้องปราบปรามชุมนุมที่ต่างฝ่ายก็พยายามจะแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจเพื่อตั้งตนขึ้นมาเป็นใหญ่เสียก่อน ซึ่งต้องใช้ทั้งสรรพกำลังและต้องสูญเสียเลือดเนื้อมิใช่น้อย
ในช่วงเกิดศึกสงคราม เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เพราะราษฎรต่างพากันทิ้งไร่ทิ้งนาในระหว่างศึกสงคราม ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ยังทรงต้องแก้ปัญหาปากท้องทั้งของราษฎรและกองทัพ พระองค์ทรงเริ่มชักจูงให้ราษฎรค่อย ๆ อพยพกลับสู่กรุงธนบุรี เพื่อกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ
เหตุผลหนึ่งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเลือกตั้งราชธานีที่ธนบุรี เพราะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญทั้งทางด้านยุทธศาสตร์และการค้า เป็นเมืองเกษตรกรรม อาชีพหลักของประชาชนคือการทำสวนผลไม้ สินค้าสำคัญของธนบุรีตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นประเภทผลไม้และหมาก แต่ในขณะนั้นการทำไร่ทำนาก็ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเพราะฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล สภาวะการขาดแคลนดังกล่าวนี้ ปรากฏตรงกันอยู่ในบันทึกของชาวต่างชาติหลายฉบับ เช่นที่ปรากฏข้อความในบันทึกของคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ว่า
“...เมื่อข้าพเจ้าได้ไปในเมืองไทยได้เห็นราษฎรพลเมืองซึ่งได้รอดพ้นมือพม่าไปได้นั้น ยากจนเดือดร้อนอย่างที่สุด ในเวลานี้ดูเหมือนดินฟ้าอากาศจะช่วยกันทำโทษพวกเขา ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ชาวนาได้หว่านข้าวถึง 3 ครั้ง ก็มีตัวแมลงคอยกินรากต้นข้าวและรากทุกอย่าง โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมมีทั่วไปทุกหนแห่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะไปไหนก็ต้องมีอาวุธติดตัวไปด้วยเสมอ...”
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อรับซื้อข้าวสารจากเรือสำเภาของชาวต่างชาติในราคาสูงเพื่อนำมาแจกจ่ายแก่ราษฎร ชาวบ้านที่เคยหลบหนีออกไปอยู่ตามป่าเขาจึงเริ่มอพยพกลับเข้ามาในกรุงธนบุรีเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ในช่วงนี้ก็ยังได้บันทึกไว้เช่นกันว่า
“...ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ พระยาตากได้แสดงให้เห็นถึงพระเมตตากรุณาของพระองค์ ความขัดสนไม่ได้ทำให้อดอยากต่อไปอีกนานนัก เพราะพระองค์ทรงเปิดพระคลังหลวงเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ ชาวต่างชาติได้ขายผลิตผลซึ่งไม่มีในประเทศสยามให้โดยต้องใช้เงินสดซื้อ ทรงใช้พระเมตตากรุณาของพระองค์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความถูกต้องในการเข้ายึดครองอำนาจ ทรงลบล้างเรื่องการกดขี่ ความปลอดภัยทั้งในเรื่องชีวิตและทรัพย์สินได้ฟื้นคืนกลับมา...”
ส่วนในพระราชพงศาวดารก็ได้บันทึกไว้เมื่อวันอาทิตย์ แรม 13 ค่ำ เดือน 3 ว่า
“...ข้าวสารเป็นเกวียนละ 2 ชั่ง อาณาประชาราษฎรขัดสน จึงทรงพระกรุณาให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทำนาปรัง...”
แม้กระทั่งระดับเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งเป็นแม่ทัพก็ยังต้องมาคุมทำนาพื้นที่ฝั่งซ้ายขวา กินเนื้อที่กว้างให้เป็นทะเลตมเพื่อป้องกันข้าศึก
หลังจากตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ส่งพระราชสาสน์ไปเมืองจีนเพื่อถวายพระเจ้าเฉียนหลงจักรพรรดิจีนเพื่อให้รับรองฐานะกษัตริย์พระองค์ใหม่ โดยส่งพระราชสาสน์ไปกับเรือสินค้าของพ่อค้าจีน ชื่อ หยังจิ้นจง เนื้อความในพระราชสาสน์อธิบายการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ พร้อมทั้งขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซื้อเหล็กและปืนใหญ่มาทำสงครามกับพม่า แต่ในปีเดียวกันหัวหน้าชุมนุมต่าง ๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระ ก็ได้ส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระเจ้าเฉียนหลงเพื่อให้ทรงรับรองฐานะการเป็นกษัตริย์ของสยามด้วยเช่นกัน
ครั้งนั้น พระเจ้าเฉียนหลง จึงได้ตอบปฏิเสธการรับรองฐานะของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมทั้งปฏิเสธการขอซื้อเหล็กและปืนใหญ่ด้วย
การเจริญไมตรีทางการทูตกับจีนในอีก 3 ครั้งต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2318 พ.ศ. 2320 และ พ.ศ. 2321 ทำให้กรุงธนบุรีได้รับการตอบรับด้วยไมตรีจากจักรพรรดิจีนมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดกรุงธนบุรีได้รับสิทธิ์ให้สามารถทำการค้ากับจีนได้เต็มที่เหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา สินค้าที่กรุงธนบุรีซื้อจากจีน ได้แก่ กำมะถัน กระทะเหล็ก แผ่นทองแดง เป็นต้น ส่วนสินค้าส่งออกไปยังจีนจะเป็นพวกของป่า ได้แก่ ไม้ฝาง ไม้แดง ไม้ดำ รวมทั้งการค้าพริกไทยซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกิดจากความชำนาญด้านการเพาะปลูกของชาวจีนอพยพซึ่งส่วนใหญ่เป็นจีนแต้จิ๋ว และมีแหล่งเพาะปลูกสำคัญอยู่ตามเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งที่เมืองสงขลาซึ่งมีชาวจีนฮกเกี้ยนอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนไม้ฝางยังเป็นสินค้าที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นด้วย
จะเห็นได้ว่า เวลาที่ประเทศจีนเปิดสัมพันธไมตรีการค้าอย่างเต็มที่กับกรุงธนบุรีเป็นยามที่บ้านเมืองเริ่มมีความมั่นคง แม้ในระยะแรกจีนจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับกรุงธนบุรีมาโดยตลอด เพราะมองว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นคนธรรมดาสามัญ แต่ท้ายที่สุด จีนก็ยอมรับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมากขึ้น สังเกตได้จากหลักฐานบันทึกที่มีการออกพระนามพระองค์ว่า “เจิ้งเจา” ในช่วงปลายรัชสมัย นอกจากนั้น เมื่อมีการส่งคณะทูตเพื่อถวายพระราชสาสน์อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2324 ราชสำนักจีนได้ออกพระนามพระองค์ว่า “เจิ้งเจา พระเจ้าแผ่นดินสยาม” อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมรับของจีน แต่กว่าที่จะได้มีการส่งราชทูตมาเจริญทางพระราชไมตรีอย่างเป็นทางการนั้น ก็เป็นปีสุดท้ายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพอดี เมื่อเปลี่ยนรัชกาล ผลพลอยได้จึงตกอยู่ที่กรุงรัตนโกสินทร์แทนในเวลาต่อมา
นอกจากจีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักแล้ว กรุงธนบุรีก็ยังได้ติดต่อการค้ากับชาวญวนและแขก เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเรียนรู้ภาษาทั้งสาม จนทรงสามารถพูดได้อย่างชำนาญมาตั้งแต่เมื่อครั้งทรงเริ่มรับราชการ นอกจากนั้นก็ยังทำการค้ากับญี่ปุ่นและชาติอื่น ๆ ด้วย แต่เป็นการค้าที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้กรุงธนบุรีมากเท่าการค้ากับจีน และการได้ทำการค้าที่ผ่านพ่อค้าจีนนั้น ก็ยังส่งผลดีที่ทำให้การค้าเริ่มขยายตัวออกสู่วงกว้างมากขึ้นด้วย
ด้านความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ปรากฏหลักฐานอยู่ในจดหมายเหตุของพวกบาทหลวงฝรั่งเศส เช่น มองซิเออร์คอร์ บันทึกไว้ว่า
“...เมื่อข้าพเจ้าได้มาถึงบางกอก พระยาตากพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ได้ทรงต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี และโปรดให้ข้าพเจ้าเลือกหาที่ดินตามใจชอบ ข้าพเจ้าได้เลือกที่ไว้แห่ง 1 เหนือหมู่บ้านพวกเข้ารีต...”
ตลอดจนการบันทึกในช่วงหลังการเสียกรุงที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการค้าขายทั้งกับชาวอังกฤษ โปรตุเกส และฮอลันดา หลักฐานเรื่องสินค้าสำคัญตามที่ปรากฏในบันทึก นอกจากจะเป็นการค้าข้าวซึ่งเป็นสินค้าบริโภคที่จำเป็นยิ่งสำหรับการเสริมสร้างกำลังแก่กองทัพแล้ว การค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยกรุงธนบุรีจะติดต่อซื้อดินปืนและปืนนานาชนิด ที่เรือสินค้าต่างชาติตามหัวเมืองชายทะเลได้บรรทุกเข้ามาจำหน่าย นอกจากนั้น บาทหลวงฝรั่งเศส ยังบันทึกถึงเรื่องการอาศัยเรือแขกมัวร์ไปยังบางกอก (พ.ศ. 2313) แสดงให้เห็นว่า มีการนำเรือสินค้าเข้ามาค้าขายที่เมืองบางกอกแล้วตั้งแต่ต้นรัชสมัย ยังมีข้อความที่บันทึกไว้ในเวลาต่อมาว่า
“...ในปี พ.ศ. 2322 แขกมัวร์จากเมืองสุราต ในประเทศอินเดีย ได้นำสินค้าเข้ามาขายในกรุงธนบุรี และฝ่ายไทยก็ได้ส่งสำเภาหลวงไปค้าขายถึงอินเดีย...”
การค้าที่สำคัญอีกด้านหนึ่งนั้น คือ การค้ากับฮาเตียน สินค้านำเข้าจำนวนมาก คือ ข้าว นอกจากนั้น ยังปรากฏหลักฐานการค้ากับบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (V.O.C.) ว่า
“...ในปี พ.ศ. 2312 ออกญาพิพัทธโกศาได้ส่งจดหมายไปถึงข้าหลวงใหญ่ของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาในเมืองปัตตาเวีย เพื่อชักชวนให้กลับมาตั้งสถานีการค้าในกรุงธนบุรี และติดต่อขอซื้ออาวุธปืนจำนวน 1,000 กระบอก บริษัทอินเดีย ตะวันออกของฮอลันดาได้ตกลงขายปืนให้ 500 กระบอก โดยแลกกับไม้ฝาง หากมีไม้ฝางไม่พอก็สามารถจ่ายเป็นขี้ผึ้งได้...”
ถึงแม้บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา จะไม่ได้กลับมาตั้งสถานีการค้าในธนบุรี แต่ก็ยังมีการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอีกหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2317 ธนบุรีได้ซื้อปืนอีก 3,000 กระบอก และการซื้อขายแต่ละครั้งก็ยังดำเนินการผ่านชาวจีนที่เดินเรืออยู่ระหว่างสยามและปัตตาเวีย โดยส่วนมากเป็นการซื้ออาวุธ รองลงมา คือ ข้าว และม้า
การค้ากับบริษัทอินเดียตะวันออก ของฮอลันดา (V.O.C.)
ข้าว สินค้าออกที่สำคัญ
ไม้ฝาง สินค้าที่สามารถใช้แทนเงินได้
แม้ยามนั้น บ้านเมืองจะตกอยู่ในภาวะศึกสงคราม แต่ต้องยอมรับว่า การขับเคลื่อนของกลุ่มชาวจีนที่อพยพเข้ามา คือ กลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้กรุงธนบุรีมีการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งยังทำให้การติดต่อค้าขายสามารถเชื่อมโยงไปสู่อาณาจักรอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีกด้วย การค้าในสมัยกรุงธนบุรีทั้งการค้าภายในและภายนอกนั้น มีแต่ชาวจีนที่เป็นคนดำเนินการ
แม้แต่ชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาในช่วงนั้นก็ยังได้บันทึกว่า การค้าสำคัญของที่นี่อยู่ในมือชาวจีนทั้งหมด และพระมหากษัตริย์เองก็พอใจจะให้เป็นเช่นนั้น
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง เพื่อประชาชนของพระองค์ และทำให้กรุงธนบุรีปึกแผ่น และได้รับการยอมรับในฐานะราชธานีแห่งใหม่ของสยาม ก่อนจะส่งต่อความรุ่งเรืองมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ขอขอบพระคุณที่มาภาพอ้างอิงจาก silpa-mag.com และ muangboranjournal.com