ใช้ “ทฤษฎีสั้น – ปฏิบัติจริง – ประเมินสะท้อนผล”
Active Learning (30%) – บรรยายสั้น, ถาม-ตอบ, สาธิต
Project-based Learning (40%) – ให้ทำชิ้นงาน/โปรเจกต์ เช่น วงจรสมาร์ทโฮมเล็กๆ, ระบบตรวจจับเซนเซอร์
Lab-based Learning (30%) – ปฏิบัติในห้องทดลอง ใช้อุปกรณ์จริง + Simulation
🔹Active Learning
ให้นักเรียน ลงมือทำมากกว่าฟัง เช่น วิเคราะห์วงจร, ทดลองใช้เครื่องมือ, สร้างโมดูลย่อย
วิธี: ใบงาน, ถาม-ตอบ, สถานการณ์จำลอง
🔹Lab-based Learning (การเรียนรู้เชิงปฏิบัติในห้องทดลอง)
เหมาะกับอิเล็กทรอนิกส์ เพราะต้องใช้เครื่องมือจริง เช่น มัลติมิเตอร์, Oscilloscope, Arduino/ESP32
ฝึกจนทำซ้ำได้ → ทักษะ 80%
🔹.Project-based Learning (PjBL)
ทำ โปรเจกต์อัจฉริยะ ขนาดเล็ก เช่น
ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ
ระบบวัดอุณหภูมิ/ความชื้น
ระบบควบคุมพัดลม
นักเรียนได้บูรณาการทักษะทั้งหมด (วงจร + เซนเซอร์ + เขียนโค้ด + การนำเสนอ)
🔹.Blended Learning (ออนไลน์ + ออฟไลน์)
ใช้สื่อออนไลน์ เช่น คลิป YouTube, Simulation (TinkerCAD, Proteus)
ใช้ในชั้นเรียนจริง: ปฏิบัติ ทดลอง ประกอบวงจร
ช่วยให้เรียนรู้ซ้ำได้แม้พลาดคาบ
🔹Competency-based Learning (สมรรถนะเป็นฐาน)
กำหนดทักษะย่อยชัดเจน เช่น “วัดแรงดันไฟฟ้าได้ถูกต้อง”, “เขียนโปรแกรมควบคุม LED ได้”
นักเรียนต้องทำได้จริง 80% ก่อนผ่าน
🔹 เหตุผลที่ใช้ “ผสมผสาน”
ถ้าใช้ บรรยายอย่างเดียว → เด็กจำได้แต่ทำไม่เป็น
ถ้าใช้ ปฏิบัติอย่างเดียว → เด็กอาจไม่เข้าใจหลักการ
ถ้าใช้ โปรเจกต์อย่างเดียว → เด็กอ่อนอาจทำตามเพื่อนโดยไม่เข้าใจ
👉 ดังนั้นควรใช้ “Active + Lab + Project” ควบคู่กัน เพื่อให้ ทุกคนทำได้จริง 80%