O วิธีคุกคาม
ภัยคุกคามที่มาจากมนุษย์นั้นมีหลากหลายวิธี โดยมีตั้งแต่การใช้ความรู้ขั้นสูงด้านไอทีไปจนถึงวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้และความสามารถทางเทคนิค เช่น
1) การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา
2) การคุมคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
3) การคุกคามโดยใช้โปรแกรม
1) การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา
เป็นการคุกคามที่ใช้การหลอกลวง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ โดยไม่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญด้านไอที เช่น การโทรศัพท์ การส่งข้อความมาทางโทรศัพท์ ทางอีเมล ทาง LINE หรือ facebook มาหลอกเพื่อให้ได้รหัสผ่านหรือส่งข้อมูลที่สำคัญให้ โดยอาจหลอกว่าได้รับรางวัล แต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือบางรายอาจหลอกลวงว่า โทรมาจากธนาคารที่เราใช้บริการอยู่ หลอกว่าธนาคารจะโอนเงินให้ แล้วขอข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเราไป เป็นต้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจป้องกันได้ยาก เพราะผู้หลอกลวงจะพยายามหาวิธีต่างๆ ทำให้เราเชื่อใจ แต่ก็ป้องกันได้โดย นักเรียนต้องตระหนักเสมอว่า เราไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่น หรือแม้กระทั่งบุคคลใกล้ชิด
2) การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
เป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมผ่านทางสื่อต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
***การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมนั้น เราสามารถพบเจอได้ง่ายมาก เนื่องจากเนื้อหาข้อมูลต่างๆ ที่ทั้งจริงและเท็จ ที่ทั้งดีและไม่ดี สามารถเผยแพร่ได้ง่ายและรวดเร็ว โดยปราศจากการกลั่นกรองและตรวจสอบ
ดังนั้น นักเรียนต้องใช้วิจารณญาณ ในการเลือกรับหรือปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ด้วยตนเอง
ตัวอย่างแหล่งข้อมูลและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม (Hate speech) เนื้อหาหมิ่นประมาท เนื้อหาที่ผิดต่อกฎหมายและจริยธรรม เว็บพนัน เว็บโป๊ ฯลฯ
3) การคุกคามโดยใช้โปรแกรม
เป็นการคุกคามโดยใช้โปรแกรม เป็นเครื่องมือสำหรับก่อปัญหาด้านไอที
***โปรแกรมดังกล่าว เรียกว่า มัลแวร์ (malicious software: malware)
เช่น O ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus)
O เวิร์ม (worm)
O ประตูกล (backdoor/trapdoor)
O ม้าโทรจัน (trojan horse virus)
O ระเบิดเวลา (logic bomb)
O โปรแกรมดักจับข้อมูล หรือสปายแวร์ (spyware)
O โปรแกรมโฆษณา หรือแอดแวร์ (advertising supported software: adware)
O โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (ransomware)
O ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยเจตนาร้าย อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญ หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลหรือระบบ
O เวิร์ม (worm) เป็นโปรแกรมอันตรายก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง ต่อคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย
***เวิร์มสามารถแพร่กระจายไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่ายได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีหาจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัย เช่น โค้ดเรด (Code Red) ที่มีการแพร่ในเครื่องแม่ข่ายเว็บของไมโครซอฟท์ในปี พ.ศ. 2544 ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายทั่วโลกกว่า 2 ล้านเครื่อง ต้องหยุดให้บริการ
O ประตูกล (backdoor/trapdoor) เป็นโปรแกรมที่มีการเปิดช่องโหว่ไว้ เพื่อให้ผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้าไปคุกคามระบบสารสนเทศ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ผ่านทางระบบเครือข่าย โดยที่ไม่มีใครรู้
***ประตูกล มักถูกสร้างขึ้น จากบางบริษัทรับจ้างทำระบบสารสนเทศ เพื่อแอบดึงข้อมูล หรือความลับของบริษัท โดยที่ผู้ว่าจ้างไม่ทราบ
O ม้าโทรจัน (trojan horse virus) เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะคล้ายโปรแกรมทั่วไป
เพื่อหลอกลวงให้ผู้ใช้ติดตั้งและเรียกใช้งาน แต่เมื่อเรียกใช้งานแล้ว ก็จะเริ่มทำงานเพื่อสร้างปัญหาต่างๆ ตามที่ผู้เขียนโปรแกรมกำหนด เช่น ทำลายข้อมูล หรือล้วงข้อมูลที่เป็นความลับ
O ระเบิดเวลา (logic bomb) เป็นโปรแกรมอันตรายที่จะเริ่มทำงานโดยมีตัวกระตุ้นบางอย่าง หรือกำหนดเงื่อนไขการทำงานบางอย่างขึ้นมา เช่น เมื่อเปิดบางโปรแกรม หรือกดคีย์บอร์ดบางคีย์ก็จะทำลายข้อมูล หรือ เมื่อกดอัพเดทข้อมูลบัญชีเงินเดือน logic bomb ก็จะสั่งระบบทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงินเดือน เป็นต้น
O โปรแกรมดักจับข้อมูล หรือสปายแวร์ (spyware) เป็นโปรแกรมที่แอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้ระหว่างที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปใช้แสวงหาประโยชน์ต่างๆ เช่น เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ทเพื่อจะได้นำสินค้าหรือบริการมาโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมายเก็บข้อมูลรหัสผ่าน เพื่อนำไปใช้ในการโอนเงินออกจากบัญชีผู้ใช้ เป็นต้น
O โปรแกรมโฆษณา หรือแอดแวร์ (advertising supported software: adware)
เป็นโปรแกรมที่แสดงโฆษณาหรือดาวน์โหลดโฆษณาอัตโนมัติ หลังจากที่เครื่องนั้นติดตั้งโปรแกรมที่มีแอดแวร์แฝงอยู่ นอกจากนี้แอดแวร์บางตัว อาจจะมีสปายแวร์ที่คอยดักจับข้อมูลของผู้ใช้ เพื่อส่งโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วย
***แอดแวร์ จะสร้างความรำคาญกับผู้ใช้ เนื่องจากโฆษณาจะถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ
O โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (ransomware) เป็นโปรแกรมขัดขวางการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ โดยจะเข้ารหัสไว้ แล้วให้ผู้ใช้จ่ายเงินให้ผู้เรียกค่าไถ่ก่อน ผู้เรียกค่าไถ่จึงจะยอมให้รหัส เพื่อที่ผู้ใช้จะได้กรอกรหัสเพื่อจะได้เข้าถึงไฟล์ข้อมูลนั้นได้ เช่น คริปโตล็อคเกอร์(CryptoLocker) ในปี พ.ศ. 2556 ที่มีการแพร่กระจายไปทุกประเทศทั่วโลก ผ่านทางไฟล์แนบในอีเมล และวันนาคราย(Wannacry) ในปี พ.ศ.2560 ที่แพร่กระจายได้ด้วยวิธีเดียวกับเวิร์ม