เรากำลังศึกษาชีวิตจริงที่เกิดขึ้นในพระชาติสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
แท้จริง..พระพุทธองค์ทรงเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่ ?
พุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก
บางกลุ่มเชื่อว่า "พระพุทธเจ้าไม่เสวยเนื้อสัตว์"
บางกลุ่มก็เชื่อว่า "พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์"
เพื่อให้เข้าถึงความจริงที่ถูกตรง สาธุชนควรใช้จิตสำนึกอันเที่ยงธรรม
พิจารณาดูเหตุผลให้ถ่องแท้ ข้อคิดที่น่าพิจารณาคือ
(1)
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เป็นผู้มีพระเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างหาประมาณมิได้
ทรงสอนพุทธบริษัทของพระองค์ไม่ให้ฆ่าสัตว์ แม้แต่สัตว์เล็กที่สุด ต่ำต้อยที่สุด
ศีลข้อ 1 ว่าด้วยการไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
ทั้งที่มนุษย์จะกระทำต่อมนุษย์ หรือมนุษย์จะกระทำต่อสัตว์ก็อยู่ในข้อเดียวกัน
ถ้าคำว่า "อย่าฆ่าสัตว์" ไม่ได้หมายความถึง อย่าเสพเนื้อสัตว์ด้วย
ศีลข้อที่ 1 ก็ไร้ค่า..หมดความหมายไปสิ้น
เพราะจะมีการกินเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการฆ่าสัตว์เสียก่อน
การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดการฆ่า "ถ้าหยุดกินก็คือหยุดฆ่าด้วย"
แต่เพราะคนทั้งหลายแยกการกินและการฆ่าออกจากกัน
สัตว์จึงถูกฆ่าอยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด การกินสัตว์กับการฆ่าสัตว์
ย่อมเกี่ยวข้องเป็นเหตุและผลคู่กัน เราไม่สามารถจะแยกการกินออกจากการฆ่าได้
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บัญญัติศีล ไม่ให้ฆ่า แล้วพระองค์จะมากินเสียเองก็ดูกระไรอยู่
(2)
ชาติกำเนิดของพระพุทธเจ้า
เป็นชาวฮินดูอยู่ในวรรณะสูง แม้แต่ชาวฮินดูธรรมดาก็ไม่เสพเนื้อสัตว์
ตั้งแต่พุทธกาลหลายพันปีมาแล้ว จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
และบรรดาศากยวงค์อันเป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันก็ยังมีอยู่
ล้วนเป็นผู้ไม่เสพเนื้อสัตว์ ต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า
ในศากยวงค์ไม่เคยปรากฏว่ามีการเสพเนื้อสัตว์
(3)
พระพุทธองค์ทรงมีพระจริยาวัตรงดงาม
ทรงฉันโดยอาการสำรวม อาหารผักผลไม้ย่อมสะดวกต่อการขบฉันเป็นอย่างมาก
เนื้อสัตว์ที่คนเราธรรมดากิน มีทั้งก้าง..กระดูก..หนัง
ลำบากต่อการกิน ต้องฉีกดึงแทะกัด ล้วนเป็นอาการกินที่ไม่สำรวม..ไม่น่าดูเลย
กริยาอย่างนี้ย่อมไม่พบในองค์พระบรมศาสดาเป็นแน่
(4)
ขณะที่ทรงเสด็จออกบวช
จนกระทั่งตรัสรู้ และออกจาริกเทศนาตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า
ใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ในป่า อาหารที่เป็นธรรมชาติที่สุด
คือ อาหารจำพวกพืชผักผลไม้ สามารถหาได้ง่ายไม่สิ้นเปลือง
สะดวกต่อการจัดหามาบริโภค เหมาะแก่การดำรงตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย
อันหมายถึง ผู้ปฏิบัติธรรมแท้จริง
(5)
น่าคิดว่า..นายจุนทะเองเป็นแขกฮินดู
ซึ่งธรรมดาชาวฮินดูก็จะไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล
นายจุนทะจะเอาเนื้อหมูมาถวายพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ?
หมายเหตุ
พระมหาเถระอัมริตนันทะ ผู้มีชื่อเสียงแห่งประเทศเนปาล
ซึ่งเป็นบุตรหลานตระกูล ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากศากยวงศ์
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยืนยันให้โลกรู้ว่า..
นับตั้งแต่โบราณมาตราบจนถึงทุกวันนี้ ราชวงศ์ของท่านไม่เคยมีใครเสพเนื้อสัตว์เลย
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายก็มิได้เสพเนื้อสัตว์เช่นกัน
ในลังกาวตารสูตร และพระสูตรอีกมาก ได้จารึกพระวจนะของพระพุทธองค์
ที่บ่งบอกไว้ชัดเจนว่า พระองค์มิได้เสวยเนื้อสัตว์ใดๆ
และ ทรงสรรเสริญคุณของการงดเสพเนื้อสัตว์
จนกระทั่งราวปี พ.ศ. 900 มีการเขียนเพิ่มเติม
เปลี่ยนแปลงโดยชนรุ่นหลังว่าพระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์
คงเป็นเพราะอยากกินเนื้อสัตว์เสียเอง
จึงถือโอกาสอ้างพระนามของพระบรมศาสดาเสียเลย
เวรกรรมจริงๆ กรรมหนักมากเสียด้วย ! ที่ได้อ้างถึง..
พระพุทธเจ้าทรงเสวย "เนื้อสุกร" (สูกรมัทวะ) ที่นายจุนทะนำมาถวาย
ในพระพุทธประวัติของไทยกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงเสวยเนื้อสุกร
ที่นายจุนทะนำมาปรุงถวาย แล้วประชวรจนกระทั่งปรินิพพานในวันนั้นมิใช่หรือ ?
พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยแปลศัพท์คำว่า สูกรมัทวะ ว่าเนื้อสุกรอ่อน
ซึ่งเป็นการแปลที่ผิดพลาดอย่างมาก จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2526
ทำการแก้ไขการแปลใหม่ให้ถูกต้องว่า เห็ดอ่อนที่สุกรชอบ
สูกรมัทวะเป็นชื่อของเห็ดชนิดหนึ่ง แปลตามศัพท์หมายถึง เห็นอ่อนที่หมูชอบ
เหตุที่มีชื่อเช่นนี้ เพราะเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่ใต้ผิวดิน เป็นเห็ดที่หมูชอบ
มันจะใช้จมูก..ดมหาแล้วคุ้ยขึ้นมารับประทาน เห็ดนี้ขณะยังอ่อนๆ มีรสชาติดีพิเศษ
เป็นของหายาก แต่ข้อเสียคือ จะมีเปาะที่เป็นพิษอยู่ด้วย
หากปอกไม่ดี เมื่อนำไปปรุงก็จะทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ง่าย
สูกรมัทวะที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธเจ้านั้น เป็นอาหารที่มีของผสม
คือ โอทนะ ซึ่งปรุงด้วยเบญจโครส ได้แก่ นมโค 5 อย่างคือ
นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น นมเปรี้ยว ถือเป็นอาหารที่มีรสดีประณีต
แต่ค่อนข้างย่อยยาก ไม่เหมาะกับคนชรา เพราะทำให้ธาตุผิดปกติได้ง่าย
แม้อาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะนำมาถวายพระบรมศาสดานั้นเป็นพิษ
แต่พระองค์ก็ทรงรับประเคน ทั้งนี้เพราะทรงล่วงรู้ด้วยพระญาณ
ว่าเป็นด้วยเศษหนี้กรรมในอดีตชาติของพระองค์เอง
พระองค์จึงไม่ให้พระภิกษุอื่นฉัน โดยมีพระดำรัสสั่งให้นายจุนทะ
นำส่วนที่เหลือไปฝังดินเสีย เมื่อได้ทรงเสวยเข้าไปแล้วไม่นาน
พระธาตุก็ย่อยยับเกิด โลหิตปักขันทิกโรค (โรคท้องร่วงอย่างแรงจนมีโลหิตออก)
และทรงปรินิพพานในเวลาต่อมา ด้วยพุทธประวัติข้างต้น
มีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อสังเกตว่า..
"พระอาการประชวร" ของพระพุทธเจ้า หลังจากที่ทรงเสวยสุกรมัทวะ
เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันที ซึ่งเป็นอาการของ การรับประทานอาหารมีพิษจำพวกเห็ด
เนื้อหมูที่จะเป็นพิษ ทำให้เกิดอาการดังกล่าวนั้นไม่มี
หากนายจุนทะปรุงอาหารด้วยเนื้อหมูอย่างที่เข้าใจกัน แล้วเนื้อหมูนั้นมีเชื้อโรค
กว่าโรคจากการกินเนื้อหมูจะติดเชื้อปรากฎ ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
เป็นอันไม่ตรงกับพระอาการของพระพุทธองค์
ชาวพุทธบางคนเชื่อว่า..พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อหมูเป็นอาหารมื้อสุดท้าย
แต่ตัวเองกลับไม่กินเนื้อสัตว์เลย เมื่อสอบถามดูก็ได้รับคำตอบว่า
"เนื้อหมู..นี่ขนาดพระพุทธเจ้ากินแล้วยังตาย ช่างน่ากลัวเสียจริง
ฉะนั้น..ไม่ว่าเนื้ออะไร เราก็ไม่น่าเสี่ยงกินเข้าไป" อย่างนี้ถือว่าเป็นผู้มีรากบุญกุศล
ที่บำเพ็ญมาดี จึงสามารถเอาคำพูดผิดพลาดของคนอื่น มาเปลี่ยนเป็นประโยชน์แก่ตน
เนื้อที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ถือว่าเป็นเนื้อที่บริสุทธิ์
เนื้อที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ถือว่าเป็นเนื้อที่บริสุทธิ์
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้กินได้มิใช่หรือ ?
เนื้อที่ไม่รู้..ไม่เห็น..ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจเลยว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงมาให้ตนกินนั้น
ในโลกนี้..มีเนื้อสัตว์ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงอยู่หรือ ???
เนื้อที่ตนซื้อมา ใครกล้าพูดว่า ตนไม่รู้..ไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงมาขาย
ทุกคนย่อมรู้เห็นด้วยสามัญสำนึกว่าเขาฆ่ามาเพื่อเจาะจงให้คนซื้อกิน
ไม่ใช่ต้องไปเห็นด้วย ตาว่าเขากำลังฆ่าอยู่ มีใครบ้างไม่ได้ยินที่เขาเจาะจง
ถามว่า "ต้องการกินเนื้อไหม..กินเนื้ออะไร" ไม่ใช่หมายถึงเราต้องได้ยิน
เสียงสัตว์ที่ถูกฆ่าต่อหน้า ในเมื่อทั้งเห็น..ทั้งได้ยินว่าเขาฆ่าเจาะจงมาให้คนซื้อกินเท่านั้น
หากรู้เช่นนี้แล้ว..ไม่รังเกียจจะกิน ก็กินไปได้เลย บาปก็บาปไปเลย
คงมีแต่คนหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ สติวิปลาสเท่านั้น
จึงจะกินเนื้อได้โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ ไม่เจาะจงใดๆ ทั้งสิ้น
เนื้อบริสุทธิ์ที่คนกินไปแล้วไม่บาป พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าคือ
"เนื้อบังสกุล" หมายถึง เนื้อของสัตว์ที่ตายเอง ชาวพุทธส่วนใหญ่
เข้าใจว่าเนื้อที่ขายในตลาดเป็นเนื้อบังสกุล เพราะตายแล้วซื้อมากินไม่ผิด
จึงควรทำความเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องว่า..
เนื้อสัตว์ที่ขายในตลาดทุกชิ้นไม่ใช่เนื้อบังสกุลอย่างที่เข้าใจ
เนื้อสัตว์ในตลาดเป็นเนื้อที่ตายแล้วก็จริง
แต่ไม่ใช่ "ตายเอง" เป็นเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายทั้งหมด
สมัยนี้ถ้ารู้ว่าสัตว์ตายเอง ไม่มีใครกล้าซื้อมากินเพราะกลัวติดโรค
มีคำกล่าวอรรถาธิบายเกี่ยวกับเนื้อบังสกุล ซึ่งถือว่าเป็นเนื้อบริสุทธิ์
สำหรับคนจะกินว่า ผู้ที่กินเนื้อของสัตว์ที่ตายเองให้รู้สึกเหมือนดั่ง..
กินเนื้อของลูกตนเองที่ตายลงในทะเลทราย ก็คือ หากเราเกิดหลงทางในทะเลทราย
ตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นใด ไม่มีอะไรพอจะกินได้แล้ว
จึงต้องจำใจกินเนื้อลูกของตนที่ตายไปก่อน เพื่อประทังชีวิตให้รอดไปได้เท่านั้น
ผู้กินเนื้อบังสกุลก็ควรรู้สึกอย่างนี้ และไม่มีเขียนไว้ที่ไหนเลยว่า
ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์จำเป็นดังกล่าว..
ให้ฆ่าลูกคนกินได้โดยไม่บาปเหมือนกับฆ่าสัตว์กิน
หากเป็นเช่นนั้น..ก็ไม่ใช่คำสอนสำหรับชาวพุทธแน่
ต้องเป็นคำสอนของลัทธิอุบาทว์ศาสนามารไปแล้ว
ในคัมภีร์เก่าแก่ที่มีอยู่ทุกศาสนาในโลกเล่าว่า..สมัยดึกดำบรรพ์
ตั้งแต่แรกเริ่มที่มีมนุษย์เกิดขึ้น เวลานั้นมนุษย์กินเนื้อสัตว์ที่ตายลงเอง
นานๆ เข้าก็ติดใจในรสชาดก็เลยฆ่ากิน คงขี้เกียจรอให้ตายเอง
ถึงได้มีคำพูดติดปากว่า "บาปอยู่ที่คนทำ..กรรมอยู่ที่คนกิน"
คือ ร่วมมือร่วมใจ..สมรู้ร่วมคิดกัน..ทั้งฆ่าทั้งกิน ผลกรรมก็แบ่งกันคนละเท่าๆ กัน
ก็ยุติธรรมดี ที่ทุกวันนี้คนจำนวนมากต้องตาย เพราะโรคต่างๆ มากมาย
ลองพิจารณาดูเถิดว่า..มีสิ่งใดเป็นสิ่งร่วมอยู่ในสาเหตุนั้น
ทำไมพระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติข้อห้าม
สำหรับภิกษุตามที่พระเทวทัตทูลขอ 5 ข้อ
ข้อบัญญัติทั้ง 5 ข้อ
ที่พระเทวทัตทูลขอให้พระองค์บัญญัติให้ภิกษุต้องทำ..ไม่ทำไม่ได้นั้นคือ
1. ภิกษุทั้งหลาย..
จักต้องอยู่ในป่าตลอดชีวิต..จะอาศัยในเขตแดนบ้านไม่ได้
2. ภิกษุทั้งหลาย..
จักต้องเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต..จะยินดีรับนิมนต์ไปฉันในเรือนไม่ได้
3. ภิกษุทั้งหลาย..
จักต้องนุ่งห่มแต่ผ้าบังสกุลตลอดชีวิต..จะรับผ้าจีวรจากผู้นำมาถวายไม่ได้
4. ภิกษุทั้งหลาย..
จักต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต..จะเข้าอาศัยที่มุงบังไม่ได้
5. ภิกษุทั้งหลาย..
จักต้องไม่กินเนื้อกินปลาตลอดชีวิต..ผู้ที่กินมีความผิด
เหตุผลที่พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติตามที่ขอ ก็เพราะ
ข้อที่ (1) พระสงฆ์สาวกต้องอยู่แต่ในป่าตลอดชีวิต
ย่อมขัดกับจุดประสงค์ของการออกบวช เพราะถ้าหากพระสงฆ์อยู่แต่ในป่า
เข้ามาในเขตบ้านไม่ได้ พระสงฆ์สาวกจะเผยแผ่พระธรรม
ให้แก่มหาชนทั้งหลายที่ยังตกอยู่ในทะเลทุกข์ได้อย่างไร
ข้อที่ (2) พระสงฆ์สาวกต้องเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต
จะรับนิมนต์ไปฉันในบ้านเรือนไม่ได้ ข้อนี้หากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตตามข้อ 1 แล้ว
คือ ให้พระอยู่แต่ในป่า จะหาคนมาถวายบิณฑบาตได้อย่างไร
ผู้ที่จะถวายอาหารก็ต้องเข้าไปในป่า ย่อมทำให้เกิดความยากลำบาก
ในบางคราวที่ชาวบ้านต้องการทำกุศล ถวายทานฟังธรรมในบ้านเรือนตน
หากพระไม่รับนิมนต์แล้ว เขาจะสร้างบุญกุศลได้อย่างไร
คำขอนี้..ถ้าพระองค์ทรงบัญญัติแล้วก็หมายถึง ไม่ให้พระสงฆ์เข้าไปในเมือง
ถึงพระสงฆ์จะมีอยู่ก็มารับนิมนต์ในบ้านเรือนไม่ได้ เพราะพากันเข้าป่าไปหมด
ข้อที่ (3) พระสงฆ์สาวกต้องนุ่งห่มผ้าบังสกุลตลอดชีวิต ห้ามรับผ้าที่ชาวบ้านถวาย
ข้อนี้หากพระมีจำนวนน้อยๆ ก็อาจพอแสวงหาผ้าตามป่าช้าหรือกองขยะได้
แต่ด้วยพระพุทธองค์ทรงล่วงรู้ว่าต่อไปภายหน้า จะมีบรรดากุลบุตรทั้งหลาย
เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามากมาย แล้วจะหาผ้าบังสกุลให้ครบทุกรูปได้อย่างไร
ข้อที่ (4) พระสงฆ์สาวกต้องอยู่แต่โคนไม้ตลอดชีวิต จะเข้าสู่ที่มุงไม่ได้
ข้อนี้ขัดกับภูมิอากาศ หากเป็นฤดูแล้งก็พออยู่ได้ แต่ในฤดูฝนจะทำอย่างไร
พระสงฆ์คงต้องตากแดดตากฝนอยู่ตลอดชีวิต ยังไม่ทันจะสำเร็จธรรมใดๆ
ก็ป่วยตายเสียก่อน ซึ่งเป็นหนทางไม่ถูกต้อง ในฤดูที่ผลไม้สุกใบไม้ร่วงหล่น
ต้องทับถมเป็นปุ๋ยตามโคนต้น พระจะอาศัยอยู่กับเศษใบไม้ผลไม้
ที่ร่วงหล่น และเน่าเปื่อยส่งกลิ่น ย่อมไม่สะดวกแก่การปฏิบัติธรรม
ข้อที่ (5) ถือเป็นข้อกังวลสงสัยอย่างมากของชาวพุทธ ก็คือ
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติห้ามพระสงฆ์สาวก ไม่ให้ฉันปลาและเนื้อ
เพราะเหตุอะไร ? ข้อนี้อรรถาจารย์อธิบายว่าพระบรมศาสดาทรงเป็นพระสัพพัญญู
มีพระญาณล่วงรู้ทุกสิ่ง พระองค์ย่อมรู้ว่าอีกนับเป็นพันปี..ในกาลข้างหน้า
พระพุทธศาสนาจะแผ่กระจายไปทั่วโลก หากพระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้ามกุลบุตร
ผู้จะเข้ามาสู่ศาสนาของพระองค์ ไม่ให้กินเนื้อสัตว์เสียตั้งแต่แรก
โดยยังไม่ทันรู้ถึงหลักธรรมอันถูกต้อง ก็คงไม่มีใครก้าวเข้ามาศึกษา
อันเป็นการปิดกั้นหนทางของกุลบุตร ผู้มีวิสัยที่จะฝึกตนให้ดีได้
เวไนยสัตว์คือ ผู้ที่ยังหลงอยู่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเขายังมีปัญญาไม่มากพอ
ที่จะพาตัวเองออกจากความผิด กลับสู่ความถูกตรงอย่างแท้จริงได้นั่นเอง
เวไนยสัตว์ทั้งหลายยังต้องแสวงหาความรู้แจ้ง เพื่อพัฒนาจิตญาณตนให้สูงขึ้น
คนตาบอด..ต่อมาสามารถจะมองเห็นแสงสว่างได้แล้วเท่านั้น
จึงรู้ว่าชีวิตที่ต้องจมอยู่ในความมืดมน มันช่างน่ากลัว และทุกข์ยากเพียงไร
หากเป็นบุญวาระ โชคดีคนที่ยังหลงได้พบผู้มีปัญญาช่วยชี้แนะ
อบรมจนเกิดความสว่าง สามารถเห็นความแตกต่างระหว่างความดีความชั่ว
ความผิดความถูกได้แล้ว เมื่อนั้นเขาจะเป็นผู้รู้แจ้ง สามารถเดินไปบน..
หนทางแห่งความถูกต้องดีงาม ด้วยเหตุผลที่ค้นพบแล้วด้วยตนเองอย่างไม่ผันแปร
ดังอธิบายมาข้างต้น ย่อมจะเห็นว่าคำขอทั้ง 5 ข้อของพระเทวทัต
เป็นไปด้วยอกุศลเจตนา ที่มุ่งหวังจะทำลายพุทธจักรให้สะดุดหยุดลง
ปิดกั้นขัดขวางเวไนยสัตว์ มิให้มีโอกาสเข้าถึงพุทธธรรมได้นั่นเอง
จากที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราไม่ทรงบัญญัติ ข้อห้ามกินเนื้อสัตว์ นั้น
เพื่อเป็นช่องให้มนุษย์รู้จักใช้วิจารณญาณ อิสระที่จะเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่แล้วมนุษย์ทั้งหลายอาศัยช่องทางที่เปิดไว้น้อยนิดนี้ พากันกระโดดเข้าไป
ขยายช่องทางนั้นให้กว้างออกไป จนเต็มความพอใจในทางที่ผิดของตน
อกุศลเจตนาของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดได้ เขาถือเอาความผ่อนผันของพระศาสดา
ไปใช้โดยไม่จำกัดขีดขั้น ต่างยกเอาพุทธานุญาตบังหน้าแล้วระเริงกันไป
โดยไม่มีการเหนี่ยวรั้งในข้อที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติห้ามในข้อนี้
คนธรรมดาผู้ไม่ใส่ใจพิจารณาด้วยสติปัญญา ต่างพากันพูดว่า
ในเมื่อพระภิกษุสงฆ์..ผู้เป็นอาจารย์ ผู้นำของเราบริโภคเนื้อสัตว์
เหตุใดเราจะเอาอย่างไม่ได้ เรากินเนื้อสัตว์กันเถิด คารมเหตุผลดูเสมือนถูก
แต่ความหมายสุดท้ายผิด ทำไมพระองค์ไม่ทรงสั่งห้ามกินเนื้อสัตว์โดยตรงเล่า ???
สำหรับพระบรมศาสดาแล้วพระองค์ไม่เคยใช้ คำว่าห้าม เลย
ในคำเทศนาสั่งสอนทั้งหลาย คราวที่ทรงสรุปหลักธรรมอันเป็นหัวใจพระศาสนา
คือ พึงละเว้นความชั่วทั้งปวง พยายามทำแต่ความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
พระองค์ทรงตรัส "พึงละเว้น" หมายถึง ความชั่วทั้งหลาย..ชาวพุทธควรเว้นเสีย
ที่ละได้..ก็ควรละเสีย เหตุไฉน..ไม่ทรงตรัสห้ามไม่ให้คนทำชั่ว
โลกนี้..มีใครสั่งห้ามคนไม่ให้ทำชั่วได้ ทั้งนี้เพราะคนเป็นสัตว์โลกที่มีสมอง..มีอิสระ..
ในการเลือกระหว่างความดีและความชั่ว แต่น่าเสียดายที่คนมักเลือกอยู่ฝ่ายชั่วเสมอ
พระบรมศาสดาผู้ยอดยิ่ง..ทุกพระองค์ที่มาจุติบนโลกนี้ หากสามารถสั่งห้าม
มนุษย์ทั้งหลายไม่ให้ทำความชั่วได้ ในโลกนี้..ยังจะมีคนทำชั่วอยู่อีกหรือ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ไม่ทรง สั่งห้ามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ในเรื่องการทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์
พระองค์ให้ทุกคนพยายามทำให้มาก..ให้บ่อยที่สุด ใครเล่าจะออกคำสั่งให้เขาทำดีได้
ใครจะสั่งให้คนเป็นคนดีได้ ใครจะสั่งให้ทุกคนบริสุทธิ์ได้
ทุกอย่างนั้น..ขึ้นอยู่กับตัวแต่ละคนเองที่จะกระทำออกมา ด้วยใจรู้แจ้งในเหตุและผล
โดยตัวของตัวเองเท่านั้น พระองค์ทรงตรัสว่าเราเป็นเพียงผู้บอกให้เวไนยสัตว์
ได้รู้ถึงความถูกต้องดีงาม แต่เราไม่สามารถบังคับให้เขาเชื่อ
พระองค์ทรงเรียกทุกคนให้เข้ามาฟังคำของพระองค์ก่อน เชื่อหรือไม่..เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความศรัทธาเชื่อมั่นจะต้องเกิดจากจิตใจ จากมโนธรรมสำนึกภายในตัวของเขาเอง
พืชผักทั้งหลายเป็นของมีชีวิต กินแล้วมิเป็นบาปด้วยหรือ ?
พืชผักเป็นสิ่งมีชีวิตก็จริงอยู่ แต่มีองค์ประกอบของชีวิตที่ต่างไปจากมนุษย์และสัตว์
กล่าวคือ มนุษย์มีองค์ประกอบของชีวิต 3 ส่วน คือ
1. จิตญาณแห่งความรู้เหตุและผล คือ วิจารณญาณ
2. จิตญาณแห่งการต่อสู้ ดิ้นรนหนีภัย คือ สัญชาตญาณ
3. พลังในการเจริญเติบโตคือ พลังชีวิต
สัตว์ทั้งหลายมีองค์ประกอบของชีวิต 2 ส่วน คือ
1. จิตญาณแห่งการต่อสู้ ดิ้นรนหนีภัย คือ สัญชาตญาณ
2. พลังในการเจริญเติบโต คือ พลังชีวิต
แต่ พืชมีองค์ประกอบของชีวิตเพียงหนึ่งส่วน คือ พืชมี พลังชีวิต
หมายถึง พลังแห่งการเจริญเติบโตเท่านั้น ไม่มีเวทนาที่รู้สึกเจ็บทุกข์ทรมาน
ไม่มีสัญญา (การจำหมาย) การกินพืชผักผลไม้..จึงไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดบาปเวร
การกินพืชผักผลไม้..ไม่เป็นการทำลายล้าง โดยธรรมชาติพืชผักผลไม้
จะหมุนเวียน..ผลิดอกออกผลให้ทุกชีวิตได้อาศัยรับประทานอยู่ตลอด
แม้ไม่มีผู้ใดเก็บมารับประทาน ผลก็จะหลุดร่วงตกหล่นกลับเป็นปุ๋ยบำรุงต้นต่อไป
พืชผักผลไม้..อาศัยการกินของมนุษย์และสัตว์ เพื่อช่วยขยายพันธุ์
ยิ่งบริโภคก็ยิ่งแพร่พันธ์ุอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติสร้างต้นไม้
ไม่โต้ตอบ..ไม่ทำร้ายใคร..ไม่วิ่งหนี แต่มีพลังชีวิตสูงเป็นพิเศษ
สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงเพื่อการดำรงอยู่
ดังนั้น..พืชผักผลไม้จึงเป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบให้แก่ทุกชีวิตบนโลก
พืชพรรณไม้ทั้งหลายก็เฉกเช่นกัน กับธรรมที่ให้ความสุขใจความร่มเย็นแก่ชีวิตโดยแท้