ติดตั้งแก๊สLPG เช็คระบบ ปรับจูน ตรวจสภาพแก๊ส
เช็คระยะแก๊สทุก 20,000 กิโลเมตร หรือ ทุก ๆ 6 เดือน
เช็ครั่ว เช็คระบบน้ำร้อนเข้าหม้อต้ม
ล้างทำความสะอาดแกนโซลินอยส์แก๊ส
เช็คท่อน้ำ,ท่อแก๊ส (ท่อแก๊สทั้งระบบควรเปลี่ยนทุก 50,000 กิโลเมตร หรือ ทุก 24 เดือน
เปลี่ยนไส้กรองไอแก๊ส
เปลี่ยนไส้กรองหม้อต้มแก๊ส
ควรปรับตั้งระยะยกหัวฉีดแก๊สทุก 40,000 - 60,000 กิโลเมตร
ปรับตั้งระยะวาล์วไอดี-ไอเสีย (40,000 - 60,000 กิโลเมตร ตามคู่มือการใช้งานของรถยนต์)
การเลือกใช้หัวเทียนสำหรับรถติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแก๊ส ควรเลือกแบบไหน จริง ๆ แล้ว ทางร้านแนะนำให้ใช้หัวเทียนติดรถจะดีที่สุด เพราะเชื้อเพลิงแก๊สจุดระเบิดดีอยู่แล้วถ้าเทียบกับระบบเชื้อเพลิงน้ำมัน บางครั้งหากรถที่เราใช้ หัวเทียนติดรถเป็นแบบธรรมดา พอเปลี่ยนเป็นหัวเทียนเข็มที่จุดระเบิดดีขึ้น ปรากฎว่ามันจุดระเบิดดีเกินไปจนกลายเป็นจุดระเบิดซ้อน ทำให้เกิดอาการสะดุดหรือดับขึ้นได้
แต่หากรถที่ใช้ หัวเทียนติดรถเป็นหัวเทียนเข็มอยู่แล้ว แต่อยากจะเปลี่ยนเป็นหัวเทียนธรรมดา ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ให้ใช้เบอร์ที่มีค่าเท่าเดิม หรือ เทียบเท่า และเปลี่ยนในระยะเวลาที่เร็วขึ้น เช่น หัวเทียนติดรถ เปลี่ยนทุก 100,000 กิโลเมตร ถ้าเปลี่ยนมาใช้หัวเทียนธรรมดาให้เปลี่ยนเร็วขึ้นที่ระยะ 20,000 กิโลเมตร ตามอายุหัวเทียนครับ
น้ำมันเครื่องสำหรับรถใช้แก๊สทั้ง LPG และ NGV ปัจจุบันมีออกมาหลายรุ่นหลายยี่ห้อมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันเกรดปกติที่เพิ่มสารทนความร้อนเข้าไป ทำให้ความหนืดและสารหล่อลื่นที่อยู่ในน้ำมันสามารถทำงานได้เต็มที่ในระยะทางที่กำหนด
น้ำมันเครื่องปกติที่ไม่ได้ใช้สำหรับรถใช้งานแก๊สโดยเฉพาะก็สามารถใช้งานได้ เพียงแต่ให้เปลี่ยนที่ระยะเร็วขึ้น และควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเมื่อใช้งานไปสักระยะ หากพบว่าน้ำมันเครื่องขาดหรือพร่องไปจากจุดเช็คระดับ ให้เติมน้ำมันเพิ่มเข้าไปได้เลยให้ได้ระดับปกติ เพราะน้ำมันที่ขาดระดับไปจะทำให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้นกว่าปกติ และการหล่อลื่นจะไม่ทั่วถึง
กรองแก๊ส สำคัญอย่างไร
กรองแก๊ส (Gas Filter) ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในเชื้อเพลิงแก๊ส
ปัญหาที่พบได้เกี่ยวกับ กรองแก๊ส (Gas Filter) โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะคือ กรองแก๊สตัน หรือ มีน้ำมันเข้าไปอยู่ในกรองแก๊ส
การที่กรองแก๊สตันหรือมีน้ำมันเข้าไปอยู่ภายในไส้กรอง นอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพในการกรองสิ่งสกปรกลดลงแล้ว ยังมีผลทำให้ปริมาณแก๊สที่จะไหลผ่านไปยังหัวฉีดไหลผ่านเข้าไปได้ไม่เต็มที่ด้วย ส่งผลให้ส่วนผสมบาง การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รถจะมีอาการอืด และเมื่อส่วนผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศไม่สมบูรณ์จะส่งผลให้วาล์วยันเร็วขึ้นกว่าปกติ
การดูแล/แก้ไขในส่วนของ กรองแก๊ส ทำได้ไม่ยากเลย เพียงเปลี่ยนกรองแก๊สตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด หรือตามประเภทของกรองแก๊ส โดยทั่วไปกรองแก๊สควรเปลี่ยนที่ระยะ 20,000 และ 40,000 กม
หัวฉีด Valtek (Energy reform)
หัวฉีด Valtek ทั่วไปเป็นแบบ 3 โอห์ม ส่วนหัวฉีด Valtek ของ Energy reform เป็นแบบ 2 โอห์ม
(โอห์ม คือ ความต้านทานและการนำไฟฟ้า)
หม้อต้มแก๊สรั่ว มีผลทำให้น้ำในหม้อน้ำหาย จนก่อให้เกิดความร้อนขึ้นกับระบบเครื่องยนต์ เมื่อตรวจพบปัญหาควรทำการแก้ไขโดยเร็ว หากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากจะใช้แก๊สไม่ได้แล้ว อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมเนื่องจากน้ำในระบบลดลงต่ำกว่าระดับ และทำให้เครื่องยนต์เสียหายตามมาครับ
วิธีการดูแลรถติดแก๊ส ให้ประหยัดและปลอดภัย
1. สำคัญมากคือเรื่องของความร้อน หมั่นตรวจเช็คระดับน้ำในหม้อพักและในหม้อน้ำให้อยู่ในระดับปกติ โดยควรเช็คทั้งสองจุด ก่อนขับขี่ และสังเกตุเข็มความร้อนขณะขับขี่เช็คการทำงานของพัดลมระบายความร้อนหน้าเครื่อง หากรถจอดอยู่ให้เช็คว่าพัดลมทำงานปกติไหม และขณะขับรถอยู่ให้สังเกตุว่าแอร์เย็นน้อยลงหรือไม่
2. ตรวจเช็คการรั่วซึมของระบบแก๊ส ให้สังเหตุว่ามีกลิ่นแก๊สรอบรถหรือในรถหรือไม่ หากพบว่ามี ควรกดปิดสวิทซ์แก๊สและรีบนำรถเข้าตรวจเช็ค
3. สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่นเวลาใช้แก๊สเสียงเครื่องยนต์ดังผิดปกติ พอปิดสวิทซ์แก๊สเสียงเครื่องเงียบลง หรือหากพบปัญหาอื่นๆ ขณะใช้งานในระบบแก๊ส ให้กดปิดสวิทซ์แก๊สแล้วลองขับด้วยระบบน้ำมันว่าปัญหายังมีอยู่ไหม หากยังมีปัญหาอยู่ สันนิษฐานว่าเกิดจากระบบเครื่องยนต์ ให้นำรถเข้าอู่ซ่อมรถยนต์เพื่อตรวจเช็ค หรือถ้าไม่แน่ใจให้นำรถเข้าเช็คระบบแก๊สก่อนได้
4. นำรถเข้าตรวจเช็คระยะรถตามปกติ เช็คระดับน้ำมันเครื่อง และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนหัวเทียนตามระยะ ทำความสะอาดไส้กรองอากาศบ่อย ๆ
5. สำคัญที่สุดคืออย่าลืมเติมน้ำมันในถังให้ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4 ของถัง เพราะยังต้องใช้น้ำมันในการสตาร์ทเครื่องและวอร์มเครื่องยนต์ก่อนเข้าระบบแก๊ส แนะนำน้ำมันที่เติมควรเป็นน้ำมันเบนซินธรรมดา หรือ แก๊สโซฮอล์ 91 หรือ 95 เท่านั้น เพราะน้ำมันที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากเกินไปหากทิ้งไว้ในถังนาน ๆ จะทำให้น้ำมันหมดประสิทธิภาพ และทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
ใช้แก๊สแล้วประหยัดยังไง
แล้วแบบไหนถึงจะเรียกกินแก๊ส
การเช็คว่ารถกินแก๊สรึเปล่า จ่ายแก๊สปกติรึเปล่า ต้องมีเกณฑ์การปรับจูนระบบแก๊ส เกณฑ์ในการปรับจูนที่ดีที่สุดคือการเทียบกับการจ่ายเชื้อเพลิงน้ำมัน รถรุ่นเดียวกันอัตราการกินเชื้อเพลิงอาจต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ของแต่ละท่านว่าเป็นแบบไหน การปรับจูนแก๊สก็จะปรับการจ่ายให้ใกล้เคียงน้ำมันที่สุด ปกติเราจะเทียบเป็นอัตรากิโลเมตรต่อลิตร มันจะมีค่ากลางของรถแต่ละรุ่นว่า 1 ลิตรวิ่งได้กี่กิโลเมตร
อัตราการสิ้นเปลืองของแก๊สจะมากกว่าน้ำมันเนื่องจากค่าอ๊อกเทนแก๊สสูงกว่าน้ำมัน เช่น ใช้น้ำมันกินอยู่ที่ 8 กิโลเมตรต่อลิตร ใช้แก๊สจะกินประมาณ 7 กิโลเมตรต่อลิตร(โดยประมาณ) ถือว่าปกติ บางท่านอาจสงสัยว่าถ้าวิ่งได้น้อยกว่าแล้วจะติดแก๊สไปทำไม
การที่เราติดแก๊สแล้วประหยัดว่าการใช้น้ำมัน เพราะราคาของแก๊สต่อลิตรเมื่อเทียบกับน้ำมันต่างหากที่ทำให้มันประหยัดกว่า ดังนี้
ถ้าน้ำมันลิตรละ 35 บาท แก๊สลิตรละ 15 บาท
เติมน้ำมันไป 40 ลิตร จ่ายค่าน้ำมัน 1,400 บาท วิ่งได้ 320 กิโลเมตร จะตกกิโลละ 4.38 บาท
เติมแก๊สไป 40 ลิตร เท่ากัน จ่ายค่าแก๊สแค่ 600 บาท วิ่งได้ 280 กิโลเมตร จะตกกิโลละ 2.14 บาท
ยิ่งถ้าเราใช้รถเยอะ เดือนนึงจ่ายค่าน้ำมันเดือนละ 10,000 บาท พอมาใช้แก๊สจะจ่ายเพียงเดือนละ 5,000 บาท เท่านั้น ประหยัดไปเดือนละ 5,000 บาท ราคาติดแก๊สประมาณ 20,000 บาทโดยประมาณ แค่ 4 เดือนก็คุ้มทุนแล้ว
การสตาร์ทเครื่องด้วยระบบแก๊ส
การบังคับสตาร์ทด้วยระบบแก๊ส ใช้ในกรณีน้ำมันหมด, ระบบเชื้อเพลิงน้ำมันมีปัญหาทำให้ไม่สามารถเรียกใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในการสตาร์ท หรือ ระบบตัดน้ำมันที่ติดเพิ่มเข้าไปของชุดแก๊สมีปัญหา
วิธีการสตาร์ทด้วยแก๊สคือ ให้กดสวิทซ์แก๊สค้างไว้ บิดกุญแจOn และบิดสตาร์ทไปพร้อมกับการกดสวิทซ์แก๊สค้าง หากการสตาร์ทมีอาการลากยาวให้เหยียบคันเร่งช่วย หลังสตาร์ทติดก็ปล่อยมือจากสวิทซ์แก๊สและใช้งานระบบแก๊สปกติ
หากน้ำมันหมดให้รีบขับรถไปเติมน้ำมัน เพราะหากปล่อยให้ปั๊มในถังน้ำมันพัง รถบางรุ่นอาจตัดระบบสตาร์ท จะทำให้สตาร์ททั้งน้ำมันและแก๊สไม่ติด
บางรุ่นหลังขับไปสักพักจะมีเสียงเตือนที่สวิทซ์ดังขึ้น แต่ยังใช้งานระบบแก๊สอยู่ นั่นคืออาการปกติเป็นการเตือนว่าไม่ได้สตาร์ทด้วยระบบปกติ