บทนำนิทรรศการ
EXHIBITION OVERVIEW
การทำสำเนาจารึกนั้นไม่อาจแยกขาดได้จากจารึกศึกษาอันหมายถึงสาขาวิชาที่ทำการศึกษาข้อความ-สัญลักษณ์รวมถึงตัวอักษรที่จดจารลงบนถาวรวัตถุเช่นหิน ไม้ โลหะ กระดูก ดินเผา ฯลฯ ทั้งนี้ เป็นเพราะข้อความจารึกที่ปรากฏในบนแท่งศิลา จารึกที่ปรากฏ ณ ส่วนของสถาปัตยกรรม หรือจารึกที่ปรากฏบนวัตถุ จารึกในลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนอยู่ในวิสัยของการเสื่อมสภาพ ลบเลือน ชำรุด หรือแตกหักสูญหายไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสิ้น การณ์เช่นนี้ทำให้ภาพประทับบนสำเนาซึ่งมีเป้าหมายในการทำให้ร่องหรือรอยนูนอักษรบนผิวจารึกเด่นชัดขึ้นมานั้นกลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้การอ่านตีความทำได้ง่ายกว่าการอ่านข้อความบนวัตถุจารึกต้นฉบับ นอกไปจากนี้ แรกเริ่มเดิมทีจารึกหลายหลักซึ่งประดิษฐานอยู่ในแหล่งโบราณสถานอาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์สำหรับการอ่านเป็นหลัก แต่เป็นการสถาปนาขึ้นไว้ในฐานะที่เป็นถาวรวัตถุสำคัญ กล่าวคือประดิษฐานไว้ ณ สถานที่สำคัญหนึ่งเพื่อให้ปรากฏต่อสายตาของผู้คนไปชั่วนาตาปี แตกต่างไปจากสื่อบันทึกข้อความประเภทอื่น เช่น สมุดหรือคัมภีร์ ซึ่งเป็นการจดบันทึกข้อความไว้สำหรับการอ่านในฐานะที่เป็นวัตถุประสงค์หลัก
The epigraphic rubbing process, also known as estampage, consists in taking the imprint of engraved – or, more rarely, embossed – signs or characters on an inscription in or on a damp sheet of paper. Known in China since at least the 7th century, this practice was used from the 19th century onwards by European explorers and historians to build up and study the epigraphic corpus left by civilizations throughout the West, the Middle East and the Far East.
การทำสำเนาจารึกนั้นไม่อาจแยกขาดได้จากจารึกศึกษาอันหมายถึงสาขาวิชาที่ทำการศึกษาข้อความ-สัญลักษณ์รวมถึงตัวอักษรที่จดจารลงบนถาวรวัตถุเช่นหิน ไม้ โลหะ กระดูก ดินเผา ฯลฯ ทั้งนี้ เป็นเพราะข้อความจารึกที่ปรากฏในบนแท่งศิลา จารึกที่ปรากฏ ณ ส่วนของสถาปัตยกรรม หรือจารึกที่ปรากฏบนวัตถุ จารึกในลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนอยู่ในวิสัยของการเสื่อมสภาพ ลบเลือน ชำรุด หรือแตกหักสูญหายไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสิ้น การณ์เช่นนี้ทำให้ภาพประทับบนสำเนาซึ่งมีเป้าหมายในการทำให้ร่องหรือรอยนูนอักษรบนผิวจารึกเด่นชัดขึ้นมานั้นกลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้การอ่านตีความทำได้ง่ายกว่าการอ่านข้อความบนวัตถุจารึกต้นฉบับ นอกไปจากนี้ แรกเริ่มเดิมทีจารึกหลายหลักซึ่งประดิษฐานอยู่ในแหล่งโบราณสถานอาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์สำหรับการอ่านเป็นหลัก แต่เป็นการสถาปนาขึ้นไว้ในฐานะที่เป็นถาวรวัตถุสำคัญ กล่าวคือประดิษฐานไว้ ณ สถานที่สำคัญหนึ่งเพื่อให้ปรากฏต่อสายตาของผู้คนไปชั่วนาตาปี แตกต่างไปจากสื่อบันทึกข้อความประเภทอื่น เช่น สมุดหรือคัมภีร์ ซึ่งเป็นการจดบันทึกข้อความไว้สำหรับการอ่านในฐานะที่เป็นวัตถุประสงค์หลัก
The practice of rubbing is inseparable from epigraphy, a discipline commonly defined as the study of texts inscribed in durable materials such as stone, wood, metal, bone, clay, and so on. From the earliest days of the discipline, early specialists needed to resort to processes or devices to decipher inscriptions. Indeed, the text as it appears on the epigraphic rubbing is often more legible than the original engraved on its artifact – stele, architectural element, object, etc. Not only may these have deteriorated with time or circumstance, but many epigraphs, even when relatively recent or well preserved, are difficult to decipher with the naked eye – which is not the case with other writing media such as manuscripts. The fact is that, even when they were first installed, inscriptions were less intended to be read than to be present in a given place.
เหตุผลสำคัญอื่นของการทำสำเนาจารึกคือการที่จารึกปรากฏอยู่ในสถานที่ซึ่งทำให้ยากต่อการอ่าน เช่นการปรากฏในสถานที่เฉพาะอันทำให้ไม่อาจยกหรือแยกออกมาได้หรือการปรากฏในตำแหน่งที่ทำให้เกิดความไม่เพียงพอของแสงสว่างหรือในตำแหน่งที่เข้าถึงยากเป็นอุปสรรคต่อการเพ่งพิจารณาศึกษาได้โดยละเอียด เช่นข้อความจารึกที่ช่องประตู ข้างเสา หรือในจุดที่ยากแก่การเข้าถึงเป็นต้น การณ์เช่นนี้ทำให้สำเนาจารึกซึ่งง่ายต่อการพกพา ง่ายต่อการพับเก็บและคลี่เผยออกมาได้นั้นกลายมาเป็นวัตถุสำคัญของนักวิชาการในการศึกษาประวัติศาสตร์อารยธรรมโบราณเนื่องในวัตถุจารึกต้นฉบับซึ่งเป็นต้นตอของสำเนาจารึกเหล่านั้น
อนึ่ง ในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิควิธีใหม่ ๆ ในการทำสำเนาจารึกขึ้น เช่น การถ่ายภาพดิจิตอลแบบพิเศษ (RTI และ photogrammetry) อย่างไรก็ดี สำเนาจารึกแบบหมึกจีนหรือสำเนาจารึกบนกระดาษสา-กระดาษเพลายังถือเป็นวิธีการบันทึกข้อความจารึกสำคัญที่ยังทรงประสิทธิภาพไม่แพ้เทคนิควิธีใหม่เหล่านั้น
Other circumstances make it difficult to read an inscription in situ, such as insufficient lighting, an installation site that is difficult to access, or a particular layout – for example, when the text is inscribed around a column, or placed on a door jamb, resulting in a lack of perspective. Another advantage of rubbing or estampage is that it can be folded, rolled, and transported easily, thereby offering the historian great flexibility of use. This is still true even if more than one rubbing is sometimes necessary to cover a single inscription, typically for multi-sided inscriptions or artifacts with a very large inscribed surface.
Despite the emergence, in recent years, of new technologies, e.g. RTI and photogrammetry, for documenting inscriptions, epigraphic rubbing is still practiced and remains the simplest and most effective way of recording an inscription for study.