ประวัติจารึกศึกษาและการทำสำเนาจารึกในประเทศไทย
การทำสำเนาจารึกในประเทศไทยเกิดขึ้นจากความพยายามเติมเต็มข้อมูลประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโบราณในประเทศกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนาม ซึ่งเดิมจนถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ การเขียนประวัติศาสตร์อิงอยู่เฉพาะกับเอกสารลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่ที่ไม่อาจเติมเต็มเรื่องราวประวัติศาสตร์ของผู้คนในอาณาจักรดังกล่าวได้อย่างมีใจความสำคัญ
อาจกล่าวได้ว่าการจัดทำโครงการสำรวจซึ่งมีอิทธิพลต่อจารึกศึกษาครั้งสำคัญริเริ่มโดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศสชื่อ Doudart de Lagrée (ค.ศ. ๑๘๖๖–๑๘๖๘ / พ.ศ. ๒๔๐๙–๒๔๑๑) เพราะการสำรวจนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญหนึ่งคือการค้นหาข้อมูลชั้นต้นสำหรับการเขียนประวัติศาสตร์อาณาจักรเขมรโบราณและทำให้เกิดการทำสำเนาจารึกขึ้น อนึ่ง ภาพสำเนาจารึกนี้ได้ถูกรวบรวมตีพิมพ์ใน Voyage d’exploration en Indo-Chine (๑๘๗๓ / ๒๔๔๑๖) โดย Francis Garnier และแม้ว่าสำเนาจารึกที่ได้จะทำในรูปของการลอกลายด้วยดินสอบนกระดาษหรือการจัดทำแบบจำลองพื้นฐานซึ่งมีความเที่ยงตรงน้อยกว่ารูปแบบสำเนาจารึกหมึกจีน (ink rubbing) อย่างไรก็ดี การตีพิมพ์สำเนาจารึกชุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักศึกษาภาษาโบราณเกิดความตื่นตัวสนใจในภูมิภาคนี้ขึ้น
โครงการสำรวจศึกษาสำคัญในประเทศกัมพูชาและลาวครั้งต่อมาทำโดย François-Jules Harmand ซึ่งนอกจากเขาจะจัดทำสำเนาในรูปแบบหมึกจีนและตีพิมพ์ลงใน Annales de l’Extrême-Orient (ค.ศ. ๑๘๗๕-๑๘๗๗ / พ.ศ. ๒๔๑๘–๒๔๒๐) แล้ว ต่อมาเขายังได้ส่งภาพคัดลอกสำเนา (facsimile) ที่เขาทำให้กับ Johan Hendrik Caspar Kern นักตะวันออกศึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์ซึ่งได้ทำการอ่านตีความสำเนาชุดนี้และตีพิมพ์ลงเป็นผลงานทางวิชาการต่อไปด้วย
ตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช ๑๘๗๙ (พ.ศ. ๒๔๒๒) Étienne François Aymonier เริ่มทำการถอดความสำเนาจารึกเพื่อจัดทำพงศาวดารเขมร อย่างไรก็ดี เขาพบว่าข้อมูลจากจารึกที่มีนั้นยังขาดพร่องไปอีกมาก ทำให้เกิดการจัดทำโครงการสำราจตั้งแต่ช่วงปีคริสต์ศักราช ๑๘๘๒ ถึง ๑๘๘๕ (พ.ศ. ๒๔๒๕–๒๔๒๘) การสำรวจนี้กินบริเวณทั้งในประเทศกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนาม และมีข้อมูลที่ระบุมอบหมายให้นาย Héron de Villefosse เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำจารึกในแบบ “Lottin de Laval” ไว้ด้วย
สำเนาจารึกจากโครงการสำรวจศึกษาของ Aymonier ซึ่งได้ถูกส่งกลับและรวบรวมไว้ที่ปารีสนั้นได้รับการศึกษาและเรียบเรียงเป็นประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเขมรโบราณโดย Abel Henri Joseph Bergaigne ซึ่งได้เติมเต็มประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไป โดย Bergaigne ได้ทำการศึกษาและตีพิมพ์ผลงานสำคัญร่วมกับ Marie Étienne Auguste Barth และ Émile Charles Marie Senart ชื่อ Inscriptions sanscrites du Cambodge (จารึกภาษาสันสกฤตของกัมพูชา) ปี ๑๘๘๕ (พ.ศ. ๒๔๒๘) และ Inscriptions sanscrites de Campa et du Cambodge ปี ๑๘๙๓ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ผลงานชุดนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์อาณาจักรโบราณในอาณาบริเวณปัจจุบันของประเทศกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนาม
งานตีพิมพ์จารึกไทยและจารึกที่พบในประเทศไทยซึ่งทำตามระบบวิชาการแบบตะวันตกและอย่างเป็นการเฉพาะครั้งแรกนั้นมีรวบรวมอยู่ใน Mission Pavie. Indo-Chine, ๑๘๗๙-๑๘๙๕ (ภารกิจสำรวจศึกษาอินจีน พ.ศ. ๒๔๒๒–๒๔๒๘) โดย Auguste Jean-Marie Pavie ซึ่งได้จัดทำและตีพิมพ์สำเนาจารึกที่พบหรือรวบรวมไว้ในเมืองกรุงเทพฯ, เชียงใหม่, เชียงราย และลำพูน สำเนาเหล่านี้ต่อมาได้รับการศึกษและแปลความโดย François-Joseph Schmitt หรือบาทหลวงชมิตต์ งานชุดนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของงานจารึกศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทแปลจารึกพ่อขุนรามคำแหงซึ่งถูกค้นพบโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมอยู่ด้วย นอกไปจากนี้ งานจารึกศึกษาไทยช่วงบุกเบิกซึ่งได้ตีพิมพ์ในระดับนานาชาติที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ Le Siam ancien (ค.ศ. ๑๘๙๕ / พ.ศ. ๒๔๓๘) ของ Michel-Louis Lucien Fournereau ซึ่งเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ไทยจากข้อมูลสำรวจของเขาในช่วงปี ๑๘๙๑ ถึง ๑๘๙๒ (พ.ศ. ๒๔๓๔–๒๔๓๕) ประกอบกับการอ่านตีความจารึกที่มีอยู่เดิม ในผลงานชิ้นนี้มีทั้งสำเนาคัดลอกอักษร บทถ่ายถอด-ตีความจารึก รวมถึงบทวิเคราะห์อักษรไทยรวมอยู่ด้วย
ประเทศไทยเริ่มให้ความสนใจกับการศึกษาจารึกครั้งแรกเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพบศิลาจารึก ๒ หลัก คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ภาษาไทย และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร พร้อมด้วยพระแท่นศิลาบาตร ที่บริเวณเนินปราสาทในวัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย ในปีพุทธศักราช ๒๓๓๖ (ค.ศ. ๑๗๙๓) ทั้งนี้ ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๙ (ค.ศ. ๑๘๓๖) พระองค์ทรงอ่านแปลศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงและได้พระราชทานสำเนาคัดอักษรพิมพ์หินพร้อมด้วยลายหัตถ์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษบางคำให้แก่ เซอร์ จอห์น บาวริง (Sir John Bowring) ราชทูตอังกฤษ ภาพสำเนาจารึกที่ได้รับพระราชทานนั้นพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือ The Kingdom and people of Siam เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๐๐ (ค.ศ. ๑๘๕๗) ในระยะนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ยังทรงได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ให้อ่าน แปลจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร ออกเป็นภาษาไทยอีกด้วย
ในโครงการสำรวจตรวจหาและจัดทำสำเนาจารึกกัมพูชาของ Aymonier (พ.ศ. ๒๔๒๕–๒๔๒๘) นั้นได้มีการพบจารึกของไทยรวมอยู่ด้วย การค้นพบนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นความสำคัญของจารึกขึ้น ดังมีหลักฐานว่าทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและข้าหลวงมณฑลต่าง ๆ แสวงหารวบรวมจารึกเข้ามาเก็บไว้ในพระนคร เช่น การพบศิลาจารึกหลักที่ ๕ ที่อำเภอนครหลวงแขวงจังหวัดอยุธยา โดยพระยาโบราณราชธานินทร (พร เดชะคุปต์) ซึ่งภายหลังสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงศึกษาได้ความว่าเป็นศิลาจารึกของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไทย) คู่กับหลักภาษาเขมรซึ่งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้นำไปเก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สำรวจจารึกเพิ่มเติม และได้ให้รวบรวมจารึกเหล่านั้นมาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ หอพระสมุดสำหรับพระนคร ในรัชกาลดังกล่าว หอพระสมุดฯ ได้ทำการศึกษาวิธีการทำสำเนาจารึกและยังได้เขียนคำแนะนำวิธีทำสำเนาจารึกแจกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ช่วยทำสำเนาจารึกส่งมาไว้ที่หอพระสมุดฯ ด้วย อนึ่ง ศิลาจารึกใดที่ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายมาได้ก็ให้ทำบัญชีไว้ว่าจารึกหลักใดเก็บอยู่ที่ไหนบ้างมีรายละเอียดเกี่ยวกับจารึกบอกไว้ด้วย การทำบัญชีจารึกรวมถึงการประมวลบทศึกษานี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดให้ศาสตราจารย์ Georges Cœdès บรรณารักษ์ใหญ่ประจำหอพระสมุดฯ ในขณะนั้นเป็นผู้รับผิดชอบ โดยปรากฏมีการจัดพิมพ์คำอ่านจารึกขึ้นเป็นหนังสือ ประชุมศิลาจารึก / Recueil des inscriptions du Siam ขึ้นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๖๗ (ค.ศ. ๑๙๒๔)
ภายหลังจากที่มีการจัดแผนกบริหารจัดการในกรมศิลปากรขึ้นแล้วนั้น กรมศิลปากรได้เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบชำระรวมถึงการตีพิมพ์เผยแพร่จารึกและเอกสารโบราณต่อจากหอพระสมุดวชิรญาณ โดยพัฒนาต่อยอดจากรากฐานที่ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ และบุคคลากรชาวไทยที่ได้เคยร่วมกันวางรากฐานการศึกษาจารึกในช่วงก่อนหน้า เช่น ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรรณ, อาจารย์ประสาร บุญประคอง, อาจารย์ทองสืบ ศุภะมาร์ค, อาจารย์แย้ม ประพัฒน์ทอง, อาจารย์คงเดช ประพัฒน์ทอง เป็นต้น จารึกศึกษาตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงปัจจุบันนอกเหนือจากการอ่านแปลเนื้อความในจารึกแล้ว ยังมีการวิเคราะห์ตีความรวมถึงการพิจารณากำหนดอายุอย่างเป็นระบบสากลดำเนินการโดยนักวิชาการไทยเอง