2. รู้วิธีรับมือกับคำที่มีสระซ้อน. หากคุณเจอคำศัพท์ที่มีสระซ้อน หรือสระสองตัวติดกัน คุณอาจจะงงว่าควรเอาสระใดขึ้นก่อน โชคดีที่มีคำกลอนให้คุณจำได้ง่ายๆ ในเรื่องนี้ คือ:
3.ระวังคำศัพท์ที่มีตัวพยัญชนะพ่วงท้าย . มันเป็นเรื่องปกติที่คำศัพท์ซึ่งมีตัวพยัญชนะติดกันสองตัว จะได้รับการออกเสียงตัวหนึ่ง และไม่มีเสียงของอีกตัวหนึ่ง เขาจึงตั้งชื่อมันว่า เป็นตัวพ่วงท้ายของตัวพยัญชนะอีกตัวนั่นเอง
4.ระวังเรื่องคำพ้องและคำพ้องเสียง. คำพ้องและคำพ้องเสียง เป็นคำสองประเภทที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษมักสะกดได้ยากลำบาก แต่ก่อนที่คุณจะระวังการใช้คำสองประเภทนี้ คุณต้องรู้ความหมายมันเสียก่อน
5.ระวังการใช้คำเติมหน้า (prefixes). คำเติมหน้าเป็นส่วนประกอบที่อยู่เริ่มต้นของคำศัพท์ เอาไว้ทำให้ความหมายของรากศัพท์นั้นเปลี่ยนไป เช่น หากคุณใช้คำเติมหน้าว่า "un-" เติมไว้หน้ารากศัพท์อย่าง "happy" ก็จะกลายเป็นคำว่า "unhappy" (ซึ่งหมายความว่า “ไม่มีความสุข” นั่นเอง) ทั้งนี้ การมีคำเติมหน้า ก็ทำให้การสะกดคำภาษาอังกฤษปวดหัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน แต่ก็ยังดีที่มีกฎง่ายๆ มาช่วยจำเหมือนเดิม:
6.เข้าใจวิธีการทำคำนามให้เป็นพหูพจน์. การเรียนรู้วิธีทำคำนามเป็นพหูพจน์นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้การสะกดคำยากขึ้นไปอีก เพราะมีหลักการมากมายในการทำคำนามภาษาอังกฤษให้เป็นพหูพจน์ (แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว จะเพียงเติมตัวพยัญชนะ "s" เข้าไปเท่านั้น)
1.แตกคำเป็นพยางค์ และสังเกตศัพท์ในศัพท์. แค่เพียงเพราะคำศัพท์มีขนาดยาว ไม่ได้หมายความว่ามันจะสะกดยาก ขอเพียงคุณแตกคำออกเป็นพยางค์ และสังเกตศัพท์ย่อยที่ซ่อนอยู่ในศัพท์ใหญ่
2.ออกเสียงคำ. การออกเสียงคำศัพท์ (แบบโอเว่อร์หน่อยๆ) สามารถทำให้คุณนึกตัวสะกดออกได้ อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นต้องออกเสียงให้ถูกหลักการด้วยนะ
ให้นักเรียนฝึกอ่านและหาคำศัพท์ที่นักเรียนไม่เคยรู้มาก่อนลงในกระดาษ แล้วนำไปหาความหมาย และมาฝึกอ่านกับคุณครู