จุลฬกเสฏฐิชาดก
ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อจุลฬกะ เป็นผู้มีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำโดยอาศัยเหตุจากนิมิตต่าง ๆ ในวันหนึ่ง จุลฬกเสฏฐีนั่งรถม้าไปยังราชสำนัก พบหนูตายแล้วทำนายว่า
“ถ้าใครมีปัญญา ย่อมสามารถนำหนูตายตัวนี้ไปเป็นทุนประกอบการค้าให้เจริญรุ่งเรืองเป็นเศรษฐีได้”
ชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งได้ยินเข้า จึงถือหนูตัวนั้นไปขายให้ยายแก่ใจบุญคนหนึ่ง สำหรับเป็นอาหารแมว ได้เงินมากากณิกเท่านั้น
วันรุ่งขึ้นเขาจึงนำเงินนั้นไปซื้อน้ำอ้อยนำไปตั้งไว้ที่ประตูเมืองคู่กับน้ำดื่มอีกหม้อหนึ่ง เมื่อคนเก็บดอกไม้กลับจากป่ากำลังกระหายน้ำเต็มที่ผ่านมา ก็เชิญชวนให้ดื่มน้ำนั้น คนขายดอกไม้จึงมอบดอกไม้คนละกำเป็นการตอบแทน วันต่อ ๆ มา ชายหนุ่มก็ปฏิบัติเช่นเคย จนสามารถรวบรวมทรัพย์ได้ถึง ๘ กหาปณะ
ต่อมาวันหนึ่งในต้นฤดูฝน ฝนตกหนัก พายุแรง กิ่งไม้ต้นไม้ในพระราชอุทยานหักโค่นล้มระเนระนาด ผู้รักษาพระราชอุทยานหนักใจว่าจะนำกิ่งไม้พวกนี้ไปทิ้งที่ไหนดี ชายหนุ่มจึงรับอาสาทำความสะอาดอุทยาน โดยขอต้นไม้กิ่งไม้เหล่านั้นเป็นของตอบแทน นายอุทยานก็ตกลงทันที
เขาจึงไปยังสนามเด็กเล่น ชักชวนเด็ก ๆ มาดื่มน้ำอ้อย แล้วให้ช่วยกันขนต้นไม้ไปกองที่ประตูพระราชอุทยาน เด็กเหล่านั้นก็ช่วยกันขนอย่างสนุกสนาน ครู่เดียวก็เสร็จ ส่วนเขาเองไปหาช่างปั้นหม้อของหลวงเสนอขายไม้เหล่านั้นทำฟืน ได้ทรัพย์ถึง ๑๖ กหาปณะ และยังได้โอ่งน้ำเนื้อดีใบใหญ่และหม้อไหต่าง ๆแถมมาอีก ๕ ใบด้วย
เขานำโอ่งใส่น้ำดื่มไปตั้งไว้ใกล้ปากประตูเมือง เชิญชวนให้คนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ประมาณ ๕๐๐ คน ดื่มแก้กระหาย คนเกี่ยวหญ้าเหล่านั้นดื่มน้ำแล้ว ก็คิดจะตอบแทนคุณจึงถามว่ามีธุระสิ่งใดให้ช่วยบ้าง เขาตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มี ต่อเมื่อไรมีจึงแจ้งให้ทราบ
อยู่ต่อมาไม่กี่วัน เขาได้ข่าวว่าวันรุ่งขึ้นจะมีพ่อค้านำม้ามาที่เมืองนี้ถึง ๕๐๐ ตัวเขาจึงเอ่ยปากขอหญ้าจากคนเกี่ยวหญ้าคนละฟ่อน และขอร้องว่า ถ้าเขายังไม่ได้ขายหญ้าเหล่านั้นแล้วก็ขอให้คนเกี่ยวหญ้าอย่าเพิ่งขายหญ้าของตนเป็นอันขาด วันนั้นเขาได้หญ้าถึง ๕๐๐ ฟ่อน เมื่อพ่อค้าม้ามาหาซื้อหญ้าเลี้ยงม้าจากที่ใดไม่ได้เลย จึงต้องซื้อจากเขาเป็นเงินสูงถึง ๑,๐๐๐กหาปณะ และยังให้คนเกี่ยวหญ้าขายหญ้าได้ในราคาดีตามไปด้วย
อีก ๒-๓ วันต่อมา มีคนส่งข่าวอีกว่า บัดนี้เรือบรรทุกสินค้ามาถึงท่าแล้ว เขาจึงรีบหาเช่ารถม้าซึ่งมีบริวารมาด้วยอย่างโก้หรูขับไปที่ท่าเรือ แล้วมัดจำสินค้าทั้งหมดไว้ เมื่อพ่อค้านับร้อยคนของเมืองพาราณสีมาขอซื้อสินค้า นายเรือก็แจ้งว่ามีพ่อค้าใหญ่มามัดจำสินค้าไปหมดแล้ว
พ่อค้าเหล่านั้นจึงขอร่วมลงทุนในเรือสินค้ากับเขาคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ และอีก ๑,๐๐๐ กหาปณะ สำหรับเป็นค่าสินค้า เขาจึงขายสินค้านั้นให้ไปได้กำไรทันที 200,000 กหาปณะ
ชายหนุ่มมีฐานะร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น ภายในเวลา ๕ เดือนเท่านั้น เขาได้นำทรัพย์จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เป็นเครื่องสักการะแทนดอกไม้ธูปเทียนไปกราบท่านจุลฬกเสฏฐี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงของตนให้ฟังท่านเศรษฐีเห็นความมีสติปัญญา ความเพียรพยายาม และมีความกตัญญูกตเวที จึงยกธิดาและทรัพย์สมบัติให้ครอบครอง ต่อมาเมื่อจุลฬกเสฏฐีสิ้นชีวิตแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ได้ตำแหน่งเศรษฐีของเมืองพาราณสีต่อไป
ข้อคิดจากจุลฬกเสฏฐิชาดก
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี
การทำงานนั้นต้องรู้จักสังเกตเพื่อปรับปรุงงานที่ทำให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
ไม่เป็นคนเลือกงาน หรือดูถูกงานต่ำต้อย เมื่อพิจารณาว่างานนั้นเป็นอาชีพสุจริต ไม่ผิดศีลธรรมแล้ว ก็ควรทำ
ไม่เป็นคนเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่หลับนอน การงานใด ๆ ก็ตามไม่ว่างานใหญ่หรืองานเล็กจะต้องมีความพยายามไม่ลดละ ตั้งใจและเอาใจใส่ในงานที่ทำอยู่เสมอ รู้จักหาวิธีการทำงานให้สำเร็จด้วยดี แต่ทั้งนี้เราจะต้องเป็นคนที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมด้วย จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน
วัณณาโรหชาดก
ยังมีราชสีห์กับเสือโคร่งคูหนึ่ง สัตว์ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน อาศัยอยู่ในถ้ำเดียวกัน และผลัดเปลี่ยนกันออกไปหาเหยื่อมาแบ่งกันกิน เสมอๆ ทั้งสองอยู่กันด้วยดีตลอดมาไม่มีปัญหาอะไร อยู่มาไม่นานมีหมาจิ้งจอกผอมโซตัวหนึ่งเที่ยวหาเหยื่อไม่ได้อะไรกิน เห็นเศษอาหารที่ราชสีห์กับเสือโคร่งกินเหลือไว้ จึงกินประทังหิว แล้วเกิดความคิดว่าเราจะมัวไปเที่ยวหาเหยื่อให้เหนื่อยทำไม คอยกินเดนอาหารของราชสีห์กับเสือโคร่งนี่ก็พออยู่ได้แล้ว จึงฝากเนื้อฝากตัวขออาสาคอยรับใช้ ราชสีห์และเสือโคร่งเกิดความสงสารจึงยอมให้อยู่ด้วย
ถึงแม้หมาจิ้งจอกจะได้กินเพียงเศษอาหาร แต่กลับเป็นอาหารดีๆ มันจึงมีร่างกายอุดมสมบูรณ์และใหญ่โตมากกว่าหมาจิ้งจอกทั่วไป ทำให้มันคิดละโมบโลภมากอยากจะลองกินเนื้อราชสีห์กับเสือโคร่งดูบ้างรสชาติจะอร่อยสักเพียงไหน จึงออกอุบายแหย่ให้ราชสีห์กับเสือโคร่งผิดใจกัน เริ่มจากไปแกล้งเป่าหูราชสีห์ว่า เสือโคร่งได้ดูหมิ่นเหยียดหยามท่านว่า มีลักษณะสูงใหญ่ ด้อยกว่า ขนผิวพรรณด้อยกว่า ชาติกำเนิดด้อยกว่า กำลังกายด้อยกว่า มีความพากเพียรด้อยกว่า ราชสีห์ไม่เชื่อว่าเสือโคร่งจะดูหมิ่นตนเช่นนั้น จึงไล่ตะเพิดมันไป
ฝ่ายหมาจิ้งจอกผละจากราชสีห์ก็รบไปหาเสือโคร่งเสแสร้งยุแยงเหมือนเดิม เสือโคร่งฟังแล้วไม่พอใจจึงเผ่นโผนโจนเข้าหาราชสีห์ ถามว่าพูดอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ราชสีห์มีอาการสงบนิ่งแล้วกล่าวตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย! ถ้าท่านจะทำร้ายเราผู้อยู่กับท่านมานานปี เราก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับท่านได้อีกต่อไป ผู้ใดเชื่อถือคำของคนอื่น ผู้นั้นจะต้องพลันแตกจากมิตร จะมุ่งแต่ความแตกร้าว จ้องจับผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่ามิตร แต่ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ ใครเขามายุแหย่ก็ไม่แตกกัน ไม่ระแวงกัน นอนอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมิตรแท้" เสือโคร่งได้ฟังคุณของมิตร และโทษของการหูเบาเชื่อง่ายจากราชสีห์แล้ว ก็รู้สึกสำนึกตัวคลายความแคลงใจ กล่าวคำขอโทษราชสีห์ขอให้อภัยตนด้วย จากนั้นสัตว์ทั้งสองก็รักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเช่นเดิม
ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"อย่าหูเบา ใจเบา เชื่อเขาง่าย"
พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
วิสฺสาสา ภยมนฺเวติ เพราะความไว้วา่งใจภัยจึงมา