เด็กที่มีความบกพร้องทางการพูด หมายถึง เด็กที่มีลักษณะของคำพูดที่สื่อความหมายกับผู้อื่นไม่ได้ผล จึงทำให้ผู้พูดหมดความ
ตั้งใจที่จะพูด รวมทั้งผู้พูดเกิดปัญหาทางอารมณ์ (Riper, 1972)
เทลฟอร์ด และซอร์เรย์ (Telford & Sawrey, 1972) ได้ให้ความหมายของผู้ที่มีความบกพร่องทางการพูดว่า หมายถึง ผู้ที่พูดกับ
บุคคลรอบข้างแล้วทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจ และผู้ที่มีลักษณะการพูดตะกุกตะกัก หรือเป็นผู้ที่มีลักษณะประหม่า มีความกลัวเมื่อต้องพูดกับผู้อื่น และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจากนักแก้ไขการพูด หรือผู้เชี่ยวชาญทางการพูดโดยเฉพาะ
กล่าวโดยสรูป เด็กที่มีความบกพร้องทางการพูด หมายถึง ผู้ที่มีดีมีลัตะของการสื่อความหมายกับผู้อื่นแล้วทำให้ผู้อื่นไม่เข้าใจ จึง
ทำให้ผู้นั้นเกิดปัญหาทาทางอารมณ์ขึ้นและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจากนักแก้ไขการพูด (speech correctionist) ต่อไป
อย่างไรก็ตามเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านอื่น ๆ (นอกเหนือจากการบกพร่องทางการพูด) เช่น เด็กปัญญาอ่อนเด็กที่เป็นอัมพาต
ทางสมอง (Cenehral Palsy) ก็จะมีปัญหาทางการพูดและการสื่อสาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขการพูดและการบำบัดอื่น ๆควบคู่ไป
ความบกพร่องทางการพูดเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้
1. สาเหตุทางด้านร่างกาย เกิดจากอวัยวะที่เกี่ยวกับการออกเสียงบางส่วนผิดปกติไป เช่น เพดานปาก ขากรรไกร ลิ้น ฟัน กล่องเสียง เป็นต้น บางคนมีเส้นยึดใต้ลิ้นสั้นผิดปกติจึงทำให้ออกเสียงที่ใช้ปลายลิ้น เช่น เสียงพยัญชนะ ด ต ต น ล ไม่ชัด บางคนมีฟันยิน ฟันหรอ ฟันห่าง หรือการสบของฟันผิดปกติจึงทำให้ออกเสียงไม่ชัด นอกมีประสาทหูพิการสามารถทำให้การรับฟังเสียงผิยงผิดปทติไป มีผลทำให้การพูดติดผิดผิดปกติดปกติสมารต
2. สาเหตุทางสภาพแวดล้อม โดยธรรมชาติแล้วเด็กจะเลียนแบบสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวจากสิ่งที่เด็กได้ยิน และเห็นบ่อย ๆ ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เด็กออกเสียงไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อการพูดไม่ชัดของเด็ก
3. สาเหตุพางด้านจิตวิทยา การที่เด็กได้รับความกระทบกระเทือนพางอารมณ์ทำให้เด็กขาดความมั่นใจในการพูด บางครอบครัวพ่อแม่ไม่ค่อยเอาใจใส่เด็กเท่าที่คเด็กมีพฤติกรรมถดถอยและเรียกร้องความสนใจนอกจากนี้การที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ ใช้อารมณ์ทุบตีลูก ลูกจะเกิดความดับข้องใจและกลายเป็นเด็กที่พูดไม่ชัดได้
ความผิดปกติของพัฒนาการทางด้านการพูดและภาษา คือ สาเหตุหลักของปัญหาความบกพร่องทางการพูดและภาษาในเด็ก ซึ่งถือเป็นความบกพร่องทางการเรียนรู้ประเภทหนึ่งอันเกิดจากการทำงานของสมองที่ผิดไปจากปกติ หากเด็กมีความผิดปกติของพัฒนาการในลักษณะนี้ จะส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการออกเสียง มีข้อจำกัดในการสื่อสารด้วยเสียงพูด หรือมีความยากลำบากในการรับและเข้าใจสารจากผู้อื่น โดยปัญหาความบกพร่องทางการพูดและภาษาถือได้ว่าเป็นสัญญาณแรกของความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่จะตามมา
การสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss) ซึ่งมักถูกมองข้าม แม้จะเป็นสาเหตุหนึ่งของความบกพร่องทางการพูดและภาษาในระยะยาว ดังนั้นเด็กที่มีการพัฒนาภาษาล่าช้า จึงควรได้รับการทดสอบการได้ยินโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
ความบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual Disability)
การได้รับการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยหากเด็กถูกละเลย ถูกใช้ความรุนแรง หรือมีโอกาสได้ฟังเสียงพูดน้อย ย่อมส่งผลให้เด็กมีการพัฒนาภาษาล่าช้า
ภาวะการคลอดก่อนกำหนด (Prematurity) ถือเป็นสาเหตุของปัญหาพัฒนาการล่าช้าหลากหลายรูปแบบในเด็ก รวมถึงการพัฒนาการทางการพูดและภาษาด้วยเช่นกัน
ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการฟัง (Auditory Processing Disorder) โดยเด็กจะไม่สามารถเข้าใจหรือจดจำสิ่งที่ได้ยินได้
ปัญหาทางระบบประสาท (Neurological problems) เช่น ภาวะสมองพิการ (Celebral Palsy) กล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular Dystrophy) และการบาดเจ็บที่สมอง (Traumatic Brain Injury) ซึ่งอาจก่อให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่จำเป็นสำหรับการพูด
ออทิซึม (Autism) ส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องทางการพูดและภาษาก็อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคออทิซึมได้เช่นกัน
ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกาย (Structural problems) เช่น โรคปากแหว่งเพดานโหว่ (Cleft lip and cleft palate) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพูด
การพูดไม่ชัดแบบมีความบกพร่องของสมองที่ควบคุมโปรแกรมการพูด (Apraxia of speech) โดยเด็กจะมีปัญหาในการเรียบเรียงประโยค การลำดับคำ และพูดไม่ชัด
ภาวะไม่พูดบางสถานการณ์ (Selective Mutism) หรือลักษณะที่เด็กจะไม่ยอมพูดอย่างเด็ดขาดเมื่ออยู่ในสถานการณ์เฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นที่โรงเรียน
ศึกษาเกี่ยวกับความบกพร่องทางการพูดและภาษาของลูก เพราะยิ่งผู้ปกครองเข้าใจปัญหา ก็จะรู้วิธีการปฏิบัติ และสามารถช่วยลูกได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
อดทน เพราะถึงแม้ว่าลูกจะมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา แต่ลูกก็มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาไปได้ตลอดชีวิต ไม่ต่างจากเด็กปกติทั่วไป
ติดต่อกับโรงเรียนเพื่อแจ้งความต้องการพิเศษของลูก พ่อแม่คือบุคคลที่รู้จักลูกมากที่สุด ดังนั้น จึงควรแจ้งโรงเรียนเกี่ยวกับปัญหาของลูก โรงเรียนจะได้ร่วมมือกับผู้ปกครองและสามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างเหมาะสม
รอบรู้เรื่องการบำบัดเกี่ยวกับความบกพร่องทางการพูดและภาษาที่ลูกกำลังได้รับการรักษา นอกจากนี้ยังควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีที่จะสามารถช่วยบำบัดลูกเมื่ออยู่ที่บ้านและในสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งควรรับคำแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรทำต่อลูกด้วย
มอบหมายให้ลูกทำงานบ้าน เพราะการทำงานบ้านจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความสามารถของลูก โดยคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาที่เด็กสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และความสามารถในการทำงานของลูกเป็นหลัก ทั้งนี้พ่อแม่มีหน้าที่อธิบายวิธีการทำงานบ้านอย่างเป็นลำดับในแต่ละขั้นตอนจนกว่างานจะเสร็จ รวมทั้งสาธิตหรือให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ และให้การชมเชยเมื่อลูกสามารถปฏิบัติตามได้ในแต่ละขั้นตอนหรือเมื่อลูกสามารถทำงานได้สำเร็จในท้ายที่สุด
เป็นผู้รับฟังที่ดี โดยไม่พูดแทรกหรือแก้ไขคำ หรือประโยคในทันทีที่ลูกพูดผิด ในทางกลับกัน พ่อแม่ก็ไม่ควรบังคับให้ลูกพูดเช่นกัน
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปกครองที่ลูกมีความบกพร่องทางการพูดและภาษาเหมือนกัน เพราะอาจได้เรียนรู้วิธีการที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งได้รับกำลังใจจากผู้ปกครองที่ต่างก็มีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกัน
ติดต่อกับครูของลูก โดยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแก่ครู สาธิตวิธีการใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่ลูกใช้ รวมทั้งให้ข้อมูลที่ครูควรทราบ และหาวิธีส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียนโดยเริ่มจากที่บ้าน
1. การเล่านิทาน การเล่านิทาน (Story Telling) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก การเล่านิทานเป็นการ แสดงการให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ต่อเด็กแบบหนึ่ง เพราะเด็กปฐมวัยจะสนใจและชอบ หนังสือนิทาน การเล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาการทางด้านภาษาและในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เกี่ยวกับบชีวิตประจำวัน เกิดความคิดความเข้าใจ และทำให้เกิด ความสนุกสนานด้วยการเล่านิทานให้เด็กฟังจะช่วยให้เด็กได้เกิดการคิด จินตนาการและทำให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์ต่อไป
2. การใช้หนังสือสำหรับเด็ก การใช้หนังสืออ่านให้เด็กฟัง นอกจากเด็กจะชอบอ่านภาพจากหนังสือ ด้วยตนเอง แล้วเด็กยังชอบใหผู้ใ้หญอ่านหนังสือใหฟ้ัง ดังนั้นการอ่านหนังสือใหเ้ด็กฟังควรมีวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อให้เด็ก ได้ฝึกสายตาและให้ความสนุกสนานจากการมองตามภาพด้วย หลักการ ส าคัญในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังมีดังนี้
3. การท่องบทกลอนหรือคาคล้องจอง การท่องบทกลอนหรือคาคล้องจองนั้นจัดเป็นกิจกรรมที่ใช้ส่งเสริมพัฒนาการทาง ภาษาได้เป็นอย่างดีเพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กมีความสนุกสนาน ร่าเริงแจ่มใส เพื่อส่งเสริม พัฒนาการด้านภาษาของเด็ก เพื่อฝึกความจำให้แก่เด็กและเป็นฝึกการเคลื่อนไหวตามจังหวะคาคล้องจอง
4. การสนทนาการอภิปราย การสนทนาหรือพูดคุยกับเด็ก จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาและความคิดต่างๆ ซึ่ง จะเป็นการช่วยให้เด็กได้ฝึกคิดและสังเกต ซึ่งจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ของเด็ก การสนทนานี้ถ้าเป็นการสนทนาระหว่างพ่อแม่ ลูก จะมีเวลามากกว่าและเก ิดประโยชน์กับลูกมาก เพราะลูกจะไดเ้รียนรู้สิ่งตา่ งๆ จากการอธิบายของพ่อแม่ (วราภรณ์ รักวิจัย, 2528,หน้า 39)
5. การเล่นละครและการเล่นบทบาทสมมติ การเล่นละครและการเล่นบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นการคิดจินตนาการ ผูกเรื่องขึ้นเป็นละครหรือนิทาน โดยครูและนักเรียนช่วยกันวาดภาพจากเรื่องที่คิดขึ้นเองโดยเลือก เล่นตามที่ถนัดและช่วยกันขยายบทละครขึ้นมา การเล่นบทบาทสมมติ ได้แก่ เด็กเล่นเป็นพ่อแม่ ครู หมอ เป็นต้น