ชุมชนบ้านฉัน ชุมชนศรีเกิด มีวัดเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียวเรื่องฟ้อนผี ชื่อของชุมชนกับชื่อของวัดคือชื่อเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะวัดในอดีต รายล้อมไปด้วยต้นโพธิ์ ซึ่งต้นโพธิ์นี้ทางเหนือเรียกเก๊าศรี วัดจึงได้ชื่อว่าวัดศรีเกิด บางคนเล่าว่ามีที่มาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเชียงแสน และนำชื่อวัดศรีเกิดที่หมู่บ้านดั้งเดิมมาตั้ง เรื่องของวัด หนานศรี ปราชญ์ชาวบ้านเล่าว่า พื้นที่วัดเป็นที่เผาศพพระมาก่อน
ต้นตระกูลของฉันว่ากันว่ามาจากเวียงจันทร์ แต่ฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่า โตมาจำความได้ ก็เห็นแม่หม่อน (แม่ของยาย) แม่เฒ่าแผ่น เมืองบุญมา ลูกพ่อเฒ่าทา แม่เฒ่าใส ผู้หญิงร่างเล็กท่าทางทะมัดทะแมง แข็งแรง ไม่สวยเลย แม่หม่อนเป็นสาวที่เดี๋ยวนี้คงบอกว่าสาวแก่นเซี้ยวปีนต้นไม้เก่ง ภาพของแม่หม่อนที่จำได้คือ อยู่บนต้นมะขามสูงใหญ่ไหล่พาดย่ามเก่า ๆ เก็บฝักมะขาม ขณะที่เด็ก ๆ คอยวิ่งแย่งเก็บฝักมะขามที่ร่วงลงมา นอกจากกิจกรรมนี้แล้ว เวลาที่มีล้อเกวียนผ่านถนนหน้าบ้าน ขี้วัวสำหรับเด็กอย่างฉันต้องร้องยี้ แต่แม่หม่อนสามารถใช้สองมือกอบเอามาเก็บไว้เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ในกระถางได้ก็แล้วกัน แม่ของฉันเล่าว่า ที่แม่รักต้นไม้ มีสวนได้ทุกวันนี้ ก็เพราะแม่หม่อนนี่แหละ แม่หม่อนคือไอดอล ผู้หญิงเก่งของบ้านเราทีเดียว
แม่หม่อนทำให้เด็ก ๆ อย่างฉันรู้จักและคุ้นเคยกับวัดศรีเกิด วัดที่อยู่หน้าบ้าน ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันได้ไปวัดกับแม่หม่อนแต่ไม่ได้ฟังพระสวดหรือซาบซึ้งอะไรหรอก ฉันสนุกกับข้าวตอกที่แม่หม่อนเอามาไหว้พระ ง่วนกับการนั่งกินอย่างสบายอารมณ์ และอร่อยไปเลย
แม่หม่อนก็เหมือนผู้หญิงอื่น ๆ ที่ไปวัดวันศีล(วันพระ) เวลาไปวัดแม่หม่อนจะนุ่งห่มเต็มยศใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีขาวหม่น ทับเสื้อในที่ใส่อยู่บ้าน ผ้านุ่งเป็นผ้าฝ้ายลายเขียวพื้นดำ ความยาวเหนือหน้าแข้ง ที่เดินเหิน ไม่ข้องสะดุด มือซ้ายกำพานใส่ดอกไม้ธูปเทียน ดอกไม้ก็หาเอาตามบ้าน เทียนก็เป็นเทียนที่แม่หม่อนซื้อขี้ผึ้งเป็นแผ่นมาสีทำเป็นเล่มเอง และกระป๋องเล็ก ๆ ใส่ข้าวตอกเพื่อนของแม่หม่อนเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยมาก ฉันเรียกว่าแม่อุ้ย แม่อุ้ยเป็นคนลำพูน ฉันไม่ทราบว่าคนลำพูนกับคนลำปางเรียกผู้สูงอายุไม่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่เป็นจังหวัดในภาคเหนือเหมือนกัน
คนเมืองเหนือกินเมี่ยง ฉันก็ได้เรียนรู้เพราะฉันเติบโตมา แม่หม่อนสอนให้ฉันกินเมี่ยง เมี่ยงคือใบชาที่เอามาหมักดอง แม่หม่อนจะมีชามใส่เมี่ยงไว้ใกล้ตัว ใช้อมเคี้ยวเป็นของว่าง เวลากินแบบง่าย ๆ คือมีเกลือเม็ดแล้วขิงแก่ ๆ รสชาตินะหรือ ฝาด ๆ เปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ อร่อยดีสำหรับคนที่ชอบ
ความซาบซึ้งและซึมซับวัฒนธรรมเมืองเหนือ ของฉันและความผูกพันกับชุมชนศรีเกิด จึงมีวัดเป็นศูนย์กลาง มีแม่หม่อนพาไปเรียนรู้ ฉันจึงรู้จักกับอาหารงานบุญ อันมีแกงฮังเล และแกงวุ้นเส้น เป็นตัวเอกนำมาก่อนและปิดฉากลงที่แกงโฮะ
ถัดจากนี้ฉันยังได้รู้จักงานกฐิน ที่ญาติพี่น้องและมิตรสหายมารวมกันไม่ว่า ใครจะเป็นเจ้าภาพกฐินก็ตามที ชาวบ้านชุมชนศรีเกิดก็ร่วมแรงแข็งขันเป็นเจ้าภาพร่วมได้เสมอใครมีฝีมือทางไหนก็มาหยิบจับช่วยกันหมด
แม่หม่อนพาฉันไปวัดแต่ยาย ( ยายหลวง รุจจนพันธ์) พาฉันไปตลาด ยายของฉัน ลูกสาวคนโตของแม่หม่อน แต่งงานกับจีนไหหลำ ก็ตาของฉันนั่นแหละ ตาเคยขายกาแฟมาก่อน ยายจึงชอบกินชาร้อนตอนเช้า ฉันก็ชอบไปด้วย ตลาดอยู่ไม่ไกลจากบ้าน จะเดินลัดไปทางซอยข้างวัดศรีเกิด เข้าไปในบริเวณ เรือนแถวไม้เก่า ๆ บันไดสูง สภาพโย้เย้ ที่มีคนอาศัยอยู่ ไม่กี่คน เห็นบ้านตึกที่ยายบอกว่าบ้านพระยาราช (พระยาราชวรัยการ) หรือจะเดินตามถนนไปทางหน้าอำเภอ ก็ได้ ตลาดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัด เรียกกันว่าตลาดเทศบาล นอกจากตลาดนี้แล้ว ยังมีตลาดราชวงศ์และตลาดบริบูรณ์ปราการ อีก ฉันยังเด็กจึงไม่รู้ว่านี่คือศูนย์กลางการค้าขาย รวมถึงชุมชนศรีเกิด เป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของหน่วยราชการสำคัญต่าง ๆ ของคนเมืองลำปาง นอกเหนือจากศาลากลางจังหวัด ยังมี ที่ว่าการอำเภอ โรงพัก สำนักงานที่ดิน และศาล ชุมชนศรีเกิด จึงเป็นชุมชนที่มีคนมาอยู่ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร รวมถึงมีความหลากหลายทางชนชั้นด้วย
ประเพณีสงกรานต์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชุมชนศรีเกิดสร้างวัยเด็กให้มีความสนุกสนาน และมีสีสัน ชุมชนศรีเกิด เป็นชุมชนเมือง รถราวิ่งผ่านไปมาอยู่แล้วตามปกติ ช่วงสงกรานต์มีการปิดกั้นถนนสายหลักเพื่อให้ขบวนแห่สงกรานต์ผ่าน รถราต่าง ๆ จึงมาแน่นขนัดที่ถนนศรีเกิด นอกจากที่ทุกบ้านจะเล่นสาดน้ำสงกรานต์ แก่ผู้คนรถราที่ผ่านไปมาแล้ว เด็ก ๆ จะได้ขึ้นรถพาเล่นน้ำสงกรานต์รอบเมืองด้วย ประเพณีสงกรานต์เริ่มต้นกันตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 13 เมษายน มีการตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง โดยหน่วยราชการกำหนดสถานที่ตักบาตรให้ เด็ก ๆ ในบ้าน จะช่วยกันตักข้าวสารใส่ถุงพลาสติก แล้วปิดปากถุงด้วยการลนเทียนไข เตรียมการตั้งแต่ตอนกลางคืน และจะถูกปลุกไปใส่บาตรตอนเช้าตรู่ กลับจากใส่บาตรนั่งรถสี่ล้อกลับมา สลุงที่ใส่ข้าวสารจะกลายเป็นขันรับน้ำที่คนระหว่างทางจะสาดเข้ามาในรถ เมื่อถึงบ้านการเล่นน้ำสงกรานต์ที่หน้าบ้านใครบ้านมันก็เริ่มต้น ส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะมารวมกันเล่นน้ำ ที่บ้านญาติของตนที่เป็นทางรถผ่าน เล่นน้ำไปกินไป หนาวไป เสร็จเอาตอนเย็น วันที่ 14 เป็นวันเตรียมกับข้าวไปทำบุญ และตอนบ่ายไปขนทรายเข้าวัด เด็ก ๆ ได้ยุ่งกับการช่วยผู้ใหญ่ห่อขนมจ๊อก (ขนมเทียน) ซึ่งมีทั้งไส้หวานที่ทำจากมะพร้าว และไส้เค็มที่ทำจากถั่วเขียว งานนี้ สนุกและได้เห็นฝีมือว่าใครจะสามารถกว่ากัน ตั้งแต่ขั้นตอน การทาน้ำมันที่ใบตอง การปั้นไส้ การห่อแป้งให้พอดี ไม่ให้ไส้ขนมแตก ไปจนถึงการห่อใบตองภายนอกให้รูปลักษณ์สวยงาม หลังกิจกรรมทำขนมพอหายตื่นเต้นแล้ว ก็ไปเล่นน้ำและรอคอยไปขนทรายเข้าวัด มีผู้ใหญ่นำเด็ก ๆ ไป ขนทรายที่แม่น้ำวัง ทรายที่แม่น้ำใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ต้องข้ามน้ำไปเอากันทีเดียว น้ำแม่น้ำวังไม่ลึก แต่การข้ามน้ำมีเรื่องเล่นอีกแล้วสาดน้ำคนที่มาคนทรายด้วยกัน เล่นกับคนอื่นไม่ได้ก็เล่นกันเอง กว่าจะได้ทรายเข้าวัด และเวียนไปวัดต่าง ๆ บ้างก็เดิน บ้างก็นั่งรถ ถือโอกาสไปเที่ยววัดอื่น ๆ ไปด้วย สุดท้ายกลับมาวัดศรีเกิด พระท่านจะเตรียมโครงใส่ทราย มีคำไหว้ ไว้ด้วย เวลาเอาทรายไปถวายวัด บางคนก็ทำเป็นกองเล็ก ๆ บางคนก็เอาทรายไปรวมกับกองทรายใหญ่ แต่ทุกคนจะต้องปักตุง บนกองทรายวันที่ 15 เมษายน เป็นวันดำหัว ตอนเช้าผู้เฒ่าผู้แก่ไปวัด เสร็จพิธีทรงน้ำพระและดำหัวตุ๊เจ้า จึงจะได้กลับบ้านที่ลูกหลานรอท่าดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่บ้านตนเอง เสร็จจากในบ้านตนเอง มีการนำไปดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือ คนอื่น ๆ เด็ก ๆ ได้ร่วมขบวนแห่ พากันบ้างเดินบ้างขึ้นรถบ้างแล้วแต่ความใกล้ไกล ไปบ้านญาติผู้ใหญ่ที่เรียกขานกันว่าคนเฒ่าคนแก่ที่เคารพนับถือ บ้านที่มีคนไปรดน้ำดำหัว จะเอาของกินมาสู่ ทักทายกันสักพัก ก็เริ่มทำพิธี ผู้นำขบวนมารดน้ำดำหัวกล่าวนำขอขมาและขอรับพร รดน้ำ แต่เดิม ไม่เคร่งครัดอะไร จะรดน้ำที่มือบ้าง ไหล่บ้าง หรือ ผู้ใหญ่วักน้ำขมิ้นส้มป๋อย ลูบหัว และประพรมให้ผู้มารดน้ำดำหัว คำปั๋นพร(ให้ศีลให้พร)ของผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เป็นคำเมือง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย ผู้ที่รู้ตัวว่าอาวุโสต้องหัดท่องเอาไว้ เวลาลูกหลานมาขอพรจะได้ไม่เคอะเขิน ฉันชอบมากตรงคำขึ้นต้นที่ว่า “วันนี้ก็เป็นวันดี วันสะหลีมงคล ที่ลูกเต้าหลานเหลน เอาข้าวตอกดอกไม้ มาสุมมาคารวะยังตั๋วข้า ….”
เรื่องของชุมชนผ่านบรรพชนคนบ้านฉันยังไม่จบ ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่ฉันเชื่อว่าถ้าทุกบ้านเอาเรื่องราวของบรรพชนของตนมาเขียนมาเล่า เรื่องราวของชุมชนคนศรีเกิด จะสามารถทำเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่านำสู่ความภาคภูมิใจของคนในชุมชนได้เชียวล่ะ