สิกขาบทที่ 1 ของ
กัลยาณชนแห่งแสงสว่าง
เรา คือ พุทธะ
สิกขาบทที่ 1 ของ
กัลยาณชนแห่งแสงสว่าง
เรา คือ พุทธะ
ไม่ว่าจะเป็นระดับเบื้องต้น..ระดับท่ามกลาง..แล้วระดับที่สุด
“การตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ธรรมหนึ่งเดียวตรงหน้า”
หมายถึง การรับรู้สภาวะธรรมจากเหตุการณ์จริง ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความตั้งมั่น
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งสำคัญคือวางใจให้ถูกตรง
มิได้กล่าวว่า..“การนั่งสมาธิไม่ดี” หรือ “ห้ามนั่งสมาธิ” แต่ให้ปฏิบัติสัมมาสมาธิในอิริยาบถนั่ง
(ก) พื้นฐานของเราคือ การเพ่งเบาๆ ณ หนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์
ย่อมทำให้วิถีจิตภายในของเราสงบลง และทำหน้าที่โดยธรรมชาติ
อย่างตั้งมั่น สงบ ผ่อนคลาย พร้อมทำหน้าที่รับรู้
เมื่อรับรู้ในภาวะการณ์ที่กำลังสัมผัสอยู่นั้น
ย่อมมีความเป็นกลาง..ไม่มีอคติ..ฟังได้ชัดเจน..ถูกตรงประเด็น
ทำให้มีประสิทธิภาพในการ รู้เห็นข้อเท็จจริงต่างๆ ตามความเป็นจริง
ตรงนี้เป็นหลักการฝึกสติปัฏฐาน (บนพื้นฐานของเรา) ให้เราทั้งหลายนำไปใช้
ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น..ท่ามกลาง..จนถึงที่สุด เรียกว่า หนทางสายกลาง
ขอเรียกการปฏิบัติตามกระบวนการนี้ว่า “ตั้งสติ”
เมื่อเราเดินตามเส้นทางสายกลาง พึงรับรู้ข้อเท็จจริงจากสภาวการณ์ต่างๆ
ด้วยความเป็นกลาง เริ่มต้นโดย ตั้งมั่น ณ จุด และก้าวสู่ประตูพุทธะในภายใน
เพื่อให้ใจได้ซึมซับพลังธรรมธาตุแห่งจิตเดิมนั้น (ก่อเกิดใจฟ้าที่เป็นธรรม)
ทำให้เกิดมีพลังธรรมเที่ยงตรงอยู่เสมอจนชำนาญ
ย่อมก้าวถึงฝั่งแห่งจิตสมถะที่มีศักยภาพแห่งการตื่นแจ้ง
คือ ความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ หรือความเป็นกลางแท้จริง
ด้วยการตั้งสตินี่เอง ทำให้ชีวิตจิตญาณได้ทำหน้าที่คิดรู้
และ พิจารณารู้เห็นข้อเท็จจริงต่างๆ จากเหตุปัจจัยชีวิต
ที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปนั้นอยู่บน รากฐานของความเป็นจริง
(ไม่มีความคิดปรุงแต่ง) เกิดความเข้าใจที่ตรงจุด ตรงประเด็น
เมื่อเราดำริ..ทำอย่างไรให้ธรรมะในตัวเราปรากฏจริง
ย่อมจะน้อมนำหลักธรรมปฏิบัติออกมาสู่ชีวิตประจำวันของเรา
ถือเรียกได้ว่าเป็น ธรรมกิจ ปฏิบัติจนเป็นแบบอย่างของคุณธรรมนั้น
ไม่ว่าเรื่องราวที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วในอดีตก็ดี
หรือเป็นเหตุการณ์ซึ่งกำลังประสบอยู่..ช่วงขณะปัจจุบันนั้นก็ดี
เมื่อใจสงบ..ย้อนมองรู้ด้วยญาณด้านใน สัมผัสถึงพลังชีวิต
ยามทุกข์..เราเคยกระทำตัวออกไปอย่างไรบ้าง..และ
ปฏิบัติอย่างไรดีหนอถึงดับทุกข์ได้ และมีคุณธรรมมากขึ้นกว่าเดิม
ยามสุข.. เราเคยกระทำตัวออกไปในลักษณะเช่นใด..และ
ต่อไปเราจะไม่ประมาท/ไม่หลง/เป็นอิสระดีกว่าไหม
ยามสงบ..เรายังคงสืบต่อเมล็ดพันธุ์แห่งกุศลธรรมให้แผ่ไพศาลดีอยู่ใช่ไหม
เช่นนี้แล้ว..ขณะที่สงบ..เราเพ่งให้ผ่อนคลายอิสระ (ฌาน)
บริกรรมพระเมตตาสูตรอันไร้ตัวอักษร ย่อมน้อมนำให้จิตญาณสงบสงัดยิ่ง
ชีวิตจะซึมซับความเป็นธรรม กายใจเราได้รับการเยียวยา
ทั้งสามารถพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ฉะนั้น..ธรรมกิจส่วนแรกของกัลยาณชนแห่งแสงสว่าง
คือ การชำระตนให้บริสุทธิ์สว่าง อยู่เสมอ (บำเพ็ญจิต)
ธรรมกิจส่วนที่สองคือ งานฉุดช่วยกับส่งเสริมผู้ยังเวียนว่ายลุ่มหลง
ด้วยการเวียนธรรมจักรในอาณาจักรธรรม (บำเพ็ญชีวิต)
เพราะต้องอิงอาศัยธรรมะจริงกับพระโองการฟ้าจริง
และการสร้างบุญกุศลด้วย 3 ทานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย..สาธุ