กระจกแห่งคัมภีร์จิต : ธรรมภัณฑ์แห่งแสงสว่าง
กระจกแห่งคัมภีร์จิต : ธรรมภัณฑ์แห่งแสงสว่าง
EP 5 : จงรับธรรมภัณฑ์ทั้งชุดของความสว่าง
(1) จงเป็นหนึ่งเดียวกับศูนย์พลังธรรมสว่างสูงสุด
โอ..เธอผู้เปล่งประกายแสง
พึงน้อมใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเดิมแท้
ณ มณฑลทางกายให้ถูกตรง (หนึ่งจุดชี้)
กายแห่งแสงสว่างสูงสุด (ธรรมกาย) ย่อมพร้อม
ให้ศักยภาพของพลังธรรมเที่ยงตรงสู่ทุกมิติชีวิต
ทั้งกายทิพย์ (สัมโภคกาย) และกายเนื้อ (นิรมาณกาย)
ขณะหนึ่ง..ซึ่งประจักษ์แจ้งต่อแก่นธรรม
หรือหลักสัจธรรมอันเป็นรากฐานของชีวิต
ย่อมให้..ปัญญาแห่งความว่าง ณ ในภายใน
(แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี)
เมื่อใจว่างสงบ..พึงอิงอาศัยมณฑลรหัสยนัยนี้
สะท้อนธรรมสว่างผ่านระบบกายทิพย์
ไปสู่ทุกๆ มิติของชีวิตนั้น (ธรรมญาณส่องแสง)
(2) จงสวมชุดแห่งความรักความเมตตา
เธอ..ผู้เป็นกัลยาณชนแห่งแสง
พึงประจักษ์รู้ว่าโลกแห่งความเป็นเอกภาพ
คือ องค์รวมของอณูหนึ่งแห่งธรรมะที่ปรากฏ
เพื่อเราจะได้รับรู้ตามความสามารถทางจิตภาวะของตน
และสืบต่อความรักเมตตาอันบริสุทธิ์ของพระผู้สร้าง
เป็นตาข่ายฟ้าธรรมชาติ พร้อมทั้งร่วมสร้างสรรค์
จากทุกองคาพยพของชีวิตผ่านจิตญาณเราเอง
โดยมีเคล็ดคือ “นิพพาน..เวียนธรรมจักร..เมตตา”
“ใจ” เป็นประธานชีวิตของกาย
เมื่อใจทำหน้าที่ ณ ตำแหน่งใจฟ้า (ทิพยสูญ)
ศูนย์กลางศีรษะภายใน ใจจะสะท้อนพลังสว่าง
ย้อนประสานกับตัวตนที่สูงส่งของตน
ผ่านจักรกระหม่อมสู่จักระหัวใจของตัวเอง
สัมผัสเห็นในความรู้สึกแท้จริงของตนเอง
จงโอบกอด แล้วมอบความรักความเมตตาต่อตนเอง
อย่างจริงใจแท้จริง มิให้มีเงื่อนไขใดๆ ค้างคาอยู่
ถ้าเคยทำอกุศลกรรม..อภัยเถิด..พึงอโหสิ..ไม่เก็บกด
ถ้าเคยทำกุศลกรรม..อย่าหลงระเริง..ผิดทิศ..มีอคติ
เมื่อรับรู้ด้วยตัวเองชนิดใจไม่ยึดติด..สงบนิ่ง
(ปัญญาแห่งกระจกเงา) ย่อมทำหน้าที่ให้
ใจมนุษย์สืบส่งต่อพลังธรรมเที่ยงตรงจาก
ชั้นเหนือบรรยากาศ (ความเชื่อศรัทธาต่อธรรมะ)
ผ่านชั้นบรรยากาศ (ซึ่งอาจมีเมฆหมอกของกิเลสอยู่)
ลงสู่ชั้นสัญลักษณ์คือ กายเนื้อของเรา แล้ว..
เยียวยาฟื้นฟูกายชีวีด้วยพลังชีวิตสว่างนั้น
(ปัญญาแห่งอุเบกขา) โดยทำหน้าที่ชนิดสมดุล
ชีวิตย่อมทำหน้าที่สะท้อนหลักสัจธรรม ได้แก่
เมตตา..มโนธรรม..จริยธรรม..สัตยธรรม..ปัญญาธรรม
ออกสู่ชีวิตโดยเจตจำนงเสรีที่สามารถ ระบุปณิธาน
หรือ เจตนาที่มีกุศลธรรมเป็นเป้าหมายชัดเจน และ
อาจกลายเป็นอกุศลได้ ถ้าเราขาดสติสัมปชัญญะ
เพราะนี่เป็นปณิธานของเราเท่านั้น
ไม่ใช่มาตรฐานไปตีตราใคร..แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น
ทิศทางจะพลิกเป็นตรงข้าม ถือเป็น อกุศลเจตนา
(ยิ่งไม่ระบุเป้าหมายชัดตรง แถมรู้ไม่เท่าทันตน
ก็จะถูกกระแสเจตนาอื่น..พัดให้หลงทิศบิดเบือนไป)
ฉะนั้น..จงเลือกดำเนินชีวิตด้วยเมตตาสว่างเถิด
(เมตตาอันประกอบด้วยปัญญา) สาธุฯ
(3) จงมั่นคงเอาความจริงเป็นเข็มขัดคาดเอว
โอ..เธอกัลยาณชนผู้ตื่นรู้
พึงประจักษ์แจ้งว่ากายเนื้อเรานี้
เป็นวิหารชั่วคราวแห่งจิตญาณ
เพื่อปฏิบัติธรรมกิจตามปณิธานให้มีประสิทธิผล
ฉะนั้น..ถ้าจะให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ย่อมขึ้นกับวิถีความจริงในโลกแห่งปรากฏการณ์ด้วย
“กาย” โดยพื้นฐานทั่วไป
ย่อมรับธาตุดินจากการกินเป็นสำคัญ
รับธาตุน้ำจากการดื่มเป็นสำคัญ
รับธาตุลมจากการหายใจเป็นสำคัญ
รับธาตุไฟจากแสงอาทิตย์เป็นสำคัญ
ทั้งพลังชีวิตสว่างจากจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
คัมภีร์จิตเราจำต้องสงบ สำรวม สังวรระวัง
พึงมีสติสัมปชัญญะต่อพฤติกรรมตนเสมอ
หมายถึง เจตนา ความเชื่อ ความคิด..ความรู้สึก (มโนกรรม),
คำพูด (วจีกรรม), การกระทำ (กายกรรม) ของเรา
อย่าพลั้งเผลอทำผิดพลาด ก่ออกุศลกรรมใดๆ
ใช้มโนธรรมเตือนตน ดูแลพฤติกรรมตนให้อยู่ในทาง
มาตราฐานการอยู่ร่วมกันในชีวิตประจำวันจึงเกิดขึ้น
เรียกโดยรวมว่า การรักษาศีลปฏิบัติธรรม
ชุมชนเราจึงสงบสุข และเป็นพื้นฐานความเป็นเอกภาพ
โดยมีตัวมนุษย์ผู้ประเสริฐนั้น (พุทธะเดินดิน)
เป็นแบบอย่างของการน้อมนำหลักสัจธรรม
ไปดำเนินจริงตามหน้าที่อย่างเบิกบานเสมอ
(4) จงนำความเชื่อเป็นเกราะ
โอ..เธอผู้เป็นกัลยาณชนแห่งแสง
ด้วยใจที่เชื่อและ ศรัทธาต่อพระธรรม
ย่อมเกิดพลังแห่งเกราะป้องกัน ทั้งเป็นโล่กันภัย
ซึ่งจะดับ “ลูกศรเพลิง” จากวิญญาณอวมงคลต่างๆ
ของประสบการณ์ตรงที่เธอพบเจอ รับรู้ ณ เวลานั้นๆ
แล้วยังสะท้อนยืนยันให้เธอประจักษ์ต่อตัวเองภายใน
ว่าเธอเป็นใครกันแน่ เธอควรจะเลือกทางไหน
เธอรู้เท่าทันตนดีอยู่..ใช่หรือไม่ ! เมื่อเป็นเช่นนี้
จงขอบคุณ อธิษฐาน วอนขอ น้อมใจกราบพระ
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใด ทำงานธรรมกิจที่ไหน
จงวางใจในพระวิสุทธิอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์
เพราะพระองค์ย่อมปกปักคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอ
(5) จงนำความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก
โอ..เธอกัลยาณชนผู้ตื่นรู้
พึงมีความยุติธรรมจากใจจริงของตน
ไม่ปรารถนาสิ่งใด..ก็อย่าให้สิ่งนั้นกับผู้อื่น
จงให้สิ่งดีๆที่เธอมีต่อผู้อื่น แล้วสิ่งนั้นจะย้อนกลับมา
โดยไม่ไปเพิ่มทุกข์ให้กับใคร แม้กระทั่งตนเองหนอ
ใช้ มโนธรรม (จิตสำนึก) ดูแลในแต่ละก้าวของตนให้ตรง
ทำหน้าที่มนุษยธรรมให้ดี..เกิดเป็นบุญสัมพันธ์
ด้วยความเข้าใจจิตสำนึกองค์รวมในส่วนของตน
เธอจะแยกแยะทางแห่งกุศล..ออกจากอกุศลกรรมได้
(ปัญญาแห่งปฏิสัมภิทา/แยกแยะความเป็นธรรม)
เธอจะเบิกบาน ชื่นชมยินดีต่อการประจักษ์แจ้งนั้น
พึงอโหสิกรรม..แผ่เมตตา..อุทิศกุศลจากส่วนนี้เสมอ
(6) จงถือพระแสงแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
โอ..เธอผู้เป็นกัลยาณชนแห่งแสง
จงใช้พระวัชระธรรมตัดสิ้นเสีย
ซึ่งอคติในใจ ทิฐิมานะ ความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ประหารโลกีย์วิสัยที่หลงผิดในตัวเราออกเสีย
เพื่อให้เกิด ปัญญาในการกระทำอันสมบูรณ์พร้อม
และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ในหลักสัจธรรม..นี่แหละ
การก้าวเดินเป็นแบบอย่างของชีวิตธรรมสว่าง
แล้วสืบส่งต่อ คบไฟแห่งชีวิตสว่าง นั้น
ผ่านธรรมกิจของปณิธานที่ตนเองเลือก
เพื่อร่วมสร้างสรรค์โลกเอกภาพแห่งดอกบัวบาน
ท่ามกลางโลกแห่งปรากฏการณ์นี้เถิดฯ
(7) จงนำข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า
ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขคือ เรื่องการรับวิถีธรรม
และการฟื้นฟูจิตญาณตนด้วยหลักสัจธรรม
ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ ทั้งเป็นเหตุซึ่งจะทำให้เกิด..
ความพรั่งพร้อม สมานฉันท์ มั่งคั่ง สันติสุข เอกภาพ
โอ..เธอผู้เป็นกัลยาณชนแห่งแสง
มีสิ่งใดที่ให้คุณค่ามากไปกว่านี้ไหม
ท้ายที่สุด..หากศิษย์รักมีโอกาส
จะได้ก้าวออกไปปฏิบัติงานธรรมะอีกครั้ง
ก็จงมุ่งมั่นทำอย่างสุดกำลังสุดจิตสุดใจ
ใช้ความศรัทธาจริงแท้บำเพ็ญตน
ใช้ความเมตตาการุณย์ฉุดช่วยเวไนยด้วยใจปิติยินดี..
ก้าวไปอย่าหยุด...
อย่าหยุดกาย...จงมุ่งก้าวเดินไป
อย่าหยุดใจ... จงมุ่งมั่นตั้งใจจริง
อย่าหยุดจิต... จงมุ่งบำเพ็ญธรรม
ให้อยู่เหนือรูปลักษณ์ทั้งสี่ ทั้งนี้เพราะ
เท้าที่ก้าวเดินไปไม่หยุดคือ ความวิริยะที่สูงขึ้น