IoT หรือ Internet of Things คือ ระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบดิจิทัล สิ่งของ มนุษย์ หรือแม้แต่สัตว์เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยไม่จำเป็นต้องให้คนมาส่งมอบข้อมูลกันเอง แต่ให้ระบบดังกล่าวเป็นตัวกลางในการทำหน้าที่แทน
โดยทั่วไปแล้ว IoT ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท web-enabled smart devices ฝังเข้าไปในระบบ เพื่อเก็บข้อมูลและส่งข้อมูลตามที่ได้รับการป้อนคำสั่งเข้ามา โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแชร์ระบบเซ็นเซอร์กับเกตเวย์หลักสำหรับรับส่งข้อมูล นอกจากนี้ IoT ยังเป็นประโยชน์ต่อปัญญาประดิษฐ์ เพราะช่วยให้เก็บข้อมูลง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
จริง ๆ แล้ว สิ่งของแทบทุกอย่างนำมาทำเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับเชื่อมต่อกับระบบ IoT ได้หากเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและควบคุมการเชื่อมต่อสื่อสารกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ได้ ยกตัวอย่าง โคมไฟที่นำมาใช้เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เชื่อมต่อระบบ IoT จะมีฟังก์ชันใช้งานแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนได้นั่นก็เพราะโคมไฟนี้มีระบบเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบได้นั่นเอง เป็นต้น
ต้องยอมรับว่า IoT ถือเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อแวดวงอุตสาหกรรมหลายอย่าง และเมื่อพูดถึงประโยชน์ของ IoT สำหรับคนทั่วไป ก็คงส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตประจำวันภายในบ้าน หากเน้นประโยชน์ของ IoT ที่มีต่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องบอกว่าบ้านหรือคอนโดที่มีระบบ Internet of Things จะมีลักษณะเป็นสมาร์ทโฮม กล่าวคือเป็นบ้านที่เน้นการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก สิ่งของทุกอย่างล้วนรับส่งข้อมูลตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไป
นอกเหนือจากภาพความทันสมัยและสะดวกสบายแล้ว การใช้เทคโนโลยี IoT ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างที่เราควรพิจารณาไว้ เพื่อนำมาใช้ในที่อยู่อาศัยต่อไป และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวไว้ในบ้าน
ทุกวันนี้เราใช้ระบบแสงและไฟจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายอย่าง โดยเราตั้งเวลาเปิดปิดและตั้งค่าปรับระดับความสว่างได้ด้วย แต่ระบบไฟและแสงจากเทคโนโลยี IoT ก้าวหน้าไปมากกว่านั้น เพราะระบบไฟและแสงจะทำงานได้เพียงเราแสดงปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ยกตัวอย่าง หากเราสร้างห้องดูหนังเล็ก ๆ สักห้อง ก็สามารถใช้งานไฟฟ้าภายในบ้าน โดยปรับระดับความสว่างเหมือนนั่งดูในโรงภาพยนตร์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีเอฟเฟกต์แสงไฟกะพริบติด ๆ ดับ ๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในการรับชมหนังสยองขวัญด้วย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะทำงานอัตโนมัติผ่านการป้อนคำสั่ง "จดจำใบหน้า" ของเจ้าบ้านและสมาชิกที่อาศัยอยู่ในบ้านเท่านั้น ประตูสามารถเปิดปิดอัตโนมัติด้วยการสแกนใบหน้า ซึ่งช่วยสร้างมาตรฐานความปลอดภัยกรองคนเข้าออกภายในบ้านได้มากขึ้น ส่วนระบบหน้าต่างก็จะเปิดปิดได้ตามอัตโนมัติ โดยอาศัยการป้อนคำสั่งเกี่ยวกับดักจับแสงสว่างของดวงอาทิตย์ กล่าวคือ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น หน้าต่างก็จะเปิดออกเองเพื่อรับแสงแดดยามเช้า และปิดบานหน้าต่างเข้ามาเองเมื่อดวงอาทิตย์ตก หรือจะตั้งค่าให้หน้าต่างปิดอัตโนมัติเมื่อฝนตกก็ได้
ปัจจุบันเราสามารถควบคุมการเปิดปิดวาล์วน้ำผ่านการสั่งงานในแอปพลิเคชัน แต่หากเทคโนโลยี IoT เข้ามาทำส่วนนี้ ก็จะอำนวยความสะดวกได้มากกว่าเดิม เพราะระบบเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในวาล์วน้ำจะดักจับสัญญาณว่าเราอยู่ใกล้ ๆ บ้านหรือไม่ จากนั้นจะตรวจสอบสภาพอากาศและอุณหภูมิบริเวณโดยรอบว่าเป็นอย่างไร ก่อนจะกลับไปประมวลผลสำหรับตั้งค่าอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม เมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็จะได้อาบน้ำในอุณหภูมิกำลังดีได้ทันที
หนึ่งในนวัตกรรมไฮเทคอีกตัวที่ควรมีติดบ้าน ตู้เย็นอัจฉริยะจะช่วยสำรวจและคัดแยกอาหารและวัตถุดิบที่เราแช่เก็บไว้ในตู้เย็น รวมทั้งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และวันหมดอายุของอาหารและวัตถุดิบนั้น ๆ จริง ๆ แล้ว ตู้เย็นแบบนี้จะทำงานผ่านระบบเซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในรูปของบาร์โค้ด ซึ่งเก็บข้อมูลรายละเอียดการผลิตโดยตรงด้วยระบบอินเตอร์เน็ต
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นสำหรับสมาร์ทโฮม ปลั๊กไฟอัจฉริยะจะเปิดปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นที่เสียบในเต้าปลั๊ก ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการทำงานได้ตามต้องการ ที่สำคัญ ยังรองรับกับปลั๊กอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ โทรทัศน์ กล่องเคเบิล หรือเครื่องทำกาแฟ และแน่นอนว่าปลั๊กไฟแบบนี้ต่างจากปลั๊กไฟทั่วไป เพราะกินไฟน้อยกว่า ในขณะที่ปลั๊กไฟธรรมดากินไฟมากกว่า
แหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/