การเล่นในเด็กก่อนวัยเรียน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการเรียนรู้ผ่านการเล่น มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก การเล่นสำหรับเด็ก เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และเป็นกิจกรรมดึงความสนใจเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การเล่นสำหรับเด็กยังเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมขณะเล่นด้วยกันกับผู้อื่น เด็กเรียนรู้ที่จะร่วมมือ ปฏิบัติตามกฎ เรียนรู้การปรับพฤติกรรม และการควบคุมตนเอง เมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นจะทำให้เด็กมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี
3-6 เดือน เด็กในวัยนี้ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเด็กจะชอบขยับแขน ขา ไปมาเล่น ซึ่งในเด็กทารกกำลังเคลื่อนไหวหลายอย่างด้วยแขน ขา มือ เท้า ฯลฯ เด็กกำลังเรียนรู้และค้นพบว่าร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างไร
2 ปี เด็กในวัยนี้เป็นช่วงที่เด็กจะเล่นคนเดียว ไม่สนใจที่จะเล่นกับคนอื่นและมีพฤติกรรมชอบดูคนอื่นเล่นแต่ไม่เล่นด้วยกัน
2+ ปี เด็กวัยนี้จะชอบนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ กัน นั่งใกล้กันกับเพื่อน มีมองและให้ความสนใจ แต่จะไม่เล่นด้วยกัน เรียกว่าการเล่นแบบคู่ขนาน
3-4 ปี เด็กในวัยนี้ เริ่มเล่นร่วมกัน และเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นระหว่างการเล่น แต่ยังไม่มากนัก เช่น เด็กอาจกำลังทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกันหรือรอบ ๆ ตัวเอง แต่อาจไม่ได้โต้ตอบกับเด็กคนอื่นจริงๆ ยกตัวอย่างคือ เด็กทุกคนอาจเล่นเครื่องเล่นในสนามชิ้นเดียวกัน แต่ต่างคนต่างเล่น
4+ ปี เด็กวัยนี้จะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น เริ่มเล่นร่วมกับผู้อื่น ทั้งกิจกรรมและการเล่นหรือที่เราเรียกว่า การเล่นแบบร่วมมือ ผู้ปกครองควรเน้นย้ำเรื่องการแบ่งปัน การรู้แพ้ รู้ชนะและการให้อภัยกับเด็กๆ
ตัวอย่างกิจกรรมการเล่นของเด็กปฐมวัย
การเล่น บทบาทสมมติ สำหรับเด็ก เด็กจะเรียนรู้จากประสบการณ์ผ่านการเล่น ในขณะเล่น เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และพัฒนาส่งเสริมทักษะความสามารถของตัวเอง ในการสื่อสารโต้ตอบในเชิงบวกกับผู้อื่น ผ่านมุมมองความคิด และ ใช้จินตนาการเสริม ต่อเติมเรื่องราวในการเล่น เช่น การใช้ภาษาในการสื่อสาร การรู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และที่ขาดไม่ได้คือ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น การที่เด็กเลือกเล่นอย่างอิสระทำให้เกิดแรงจูงใจภายใน บางครั้งเราอาจมองว่าการเล่นของเด็ก เป็นการเล่นแบบไม่มีจุดหมาย แต่หารู้ไม่ว่า การเล่นของเด็กในบางครั้ง ทำให้ตัวเด็กเองสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ด้วยตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เพราะเราสามารถสังเกตเห็นได้ว่า เด็กจะชอบมาเล่าเรื่องราวที่ตัวเองเล่น โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องถาม เช่น เด็กกำลังเล่นบทบาทสมมติเล่นขายของ เชื่อว่าผู้ปกครองหลาย ๆ บ้านคงจะต้องเจอกับ การถาม-ตอบกับเด็ก เหมือนที่ครูแหม่มมีประสบการณ์กับทั้งเด็กที่บ้าน และเด็กที่โรงเรียน คำถามปลายเปิด ที่ครูแหม่ม มักถามเด็กๆ ในการเล่น บทบาทสมมต คือ " เล่นอะไรกันอยู่คะ " จึงนำไปสู่บทสนทนา โต้ตอบมากมาย เช่น
เด็ก : หนูกำลังเล่นขายอาหารค่ะ จะรับอะไรดีคะ
ผู้ปกครอง : มีเมนูอะไรบ้างคะ
เด็ก : มีส้มตำ พิซซ่า น้ำปั่น ลูกค้าจะรับอะไรบ้างคะ
ผู้ปกครอง : ขอส้มตำเผ็ด ๆ แล้วก็น้ำส้มปั่นค่ะ
เด็ก : ทั้งหมด 100 บาท ค่ะคุณลูกค้า
การเล่น เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็ก เมื่อเด็กเล่นจะส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลายให้เด็กดังนี้
พัฒนาทักษะการเข้าสังคม ภาษาและการสื่อสาร
เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
มีความสุข และสนุกสนาน
พัฒนาทักษะทางกายภาพ
สร้างความมั่นใจ
รู้จักคิดแก้ปัญหา
มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
การสนทนาโต้ตอบรู้จักการเจรจาต่อรอง
รู้จักการปรับตัว กล้าเผชิญ
ลองสิ่งใหม่ ๆ
เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม
การค้นพบความสนใจของตัวเอง
เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีจากการเล่น เพราะฉะนั้น ในการเรียนรู้ผ่านการเล่นสำหรับเด็ก ผู้ปกครองต้องถอยออกมา ให้พื้นที่เด็กได้มีความเป็นอิสระ จะก่อให้เกิดการค้นพบ แม้ว่าสิ่งนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ปกครองคาดหวังไว้ แต่การปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นอย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัด จะทำให้เด็กมีโลกแห่งจินตนาการ เรามองดูเด็ก ๆ จัดการกับความท้าทายคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่เพียงแต่พัฒนาความมั่นใจในตนเองแต่ยังส่งผลไปยังความสามารถในด้านต่างๆ โดยที่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลควรออกมาจากตัวเด็กขณะทำกิจกรรม