ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ในที่นี้จะกล่าวถึงทฤษฎีที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและเป็นประโยชน์ต่อพื้นฐานการสร้างความเข้าใจในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย ดังนี้
🌵ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล (Gesell)
อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่มีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษาและวิจัยพัฒนาการของเด็ก เขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันพัฒนาการเด็กที่มหาวิทยาลัยเยลในช่วงปี ค.ศ. 1930-1940 และได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กที่มุ่งเน้นการสำรวจและสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างละเอียด
แนวคิดหลักของ กีเซล
1. การเจริญเติบโตของเด็ก: กีเซลเชื่อว่าการเจริญเติบโตของเด็กเป็นไปตามรูปแบบที่แน่นอนและเป็นลำดับขั้น ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยประสบการณ์หรือสภาพแวดล้อม
2.การวัดพฤติกรรม: เขาสร้างเกณฑ์มาตรฐานเพื่อวัดพฤติกรรมของเด็กโดยใช้วิธีการสังเกต ซึ่งเขาได้แบ่งพัฒนาการของเด็กออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- พฤติกรรมทางการเคลื่อนไหว (Motor Behavior): การบังคับและความสัมพันธ์ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
- พฤติกรรมทางการปรับตัว (Adaptive Behavior): การใช้มือและสายตา การสำรวจ และการแก้ปัญหาในการทำงาน
- พฤติกรรมทางการใช้ภาษา (Language Behavior): การฟัง พูด อ่าน และเขียน
- พฤติกรรมส่วนตัวและสังคม (Personal-Social Behavior): การฝึกปฏิบัติส่วนตัว เช่น การกินอาหารและการฝึกสภาพสังคม เช่น การเล่นและการตอบสนองผู้อื่น
ผลกระทบของแนวคิดของ กีเซล
- การศึกษาและการจัดกลุ่มเด็ก: แนวคิดของเขามีบทบาทสำคัญในการจัดกลุ่มเด็กเข้าศึกษาในชั้นอนุบาลและประถมศึกษา โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานในการทำนายพฤติกรรมและวิเคราะห์พัฒนาการของเด็ก
- การจัดกิจกรรมการเรียนรู้: การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความพร้อมของเด็ก
ผลงานที่สำคัญ
- The First Five Years of Life: หนังสือที่บรรยายพัฒนาการของเด็กในช่วงปีแรกของชีวิต
- The Child from Five to Ten: หนังสือที่เน้นพัฒนาการของเด็กในช่วงวัย 5-10 ปี
แนวคิดและผลงานของ อาร์โนลด์ กีเซล ไม่เพียงแต่ช่วยในการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับประถมศึกษา ทำให้สามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ตรงกับความต้องการและความพร้อมของเด็กแต่ละคน
🌸ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของซิกมันต์ฟรอยด์(Sigmund Freud)
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการเข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพและสุขภาพจิตของบุคคลมากที่สุดในประวัติศาสตร์จิตวิทยา ฟรอยด์เชื่อว่าการพัฒนาการบุคลิกภาพในวัยเด็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นพื้นฐานที่กำหนดลักษณะและปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตผู้ใหญ่ ต่อไปนี้คือการสรุปทฤษฎีของฟรอยด์ในรายละเอียด
1. ทฤษฎีพัฒนาการทางเพศ (Psychosexual Development)
ฟรอยด์เชื่อว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงชีวภาพของร่างกาย ซึ่งบริเวณที่ให้ความพึงพอใจ (erogenous zones) เปลี่ยนแปลงตามอายุ และการตอบสนองจากสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อพัฒนาการบุคลิกภาพโดยรวม
ขั้นความพอใจอยู่บริเวณปาก (Oral Stage):
- ช่วงอายุ: 0-1 ปี
- ลักษณะ: เด็กจะได้รับความพอใจจากการดูดนมและสัมผัสบริเวณปาก ถ้าการตอบสนองจากการดูดนมไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต เช่น การเสพติดหรือความวิตกกังวล
ขั้นความพอใจอยู่ที่บริเวณทวารหนัก (Anal Stage)**:
- ช่วงอายุ: 1-3 ปี
- ลักษณะ: เด็กเรียนรู้การควบคุมการขับถ่าย การได้รับการสนับสนุนและความเป็นอิสระในกระบวนการนี้จะทำให้เด็กพัฒนาอย่างดี หากมีความผิดพลาด เช่น การบังคับมากเกินไป อาจทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมและระเบียบ
ขั้นความพอใจอยู่ที่อวัยวะเพศ (Phallic Stage):
-ช่วงอายุ: 3-6 ปี
- ลักษณะ: เด็กเริ่มมีความสนใจในอวัยวะเพศและบทบาททางเพศ เรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเพศ และเริ่มมีความรู้สึกต่อพ่อแม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกของความรักและความอิจฉาริษยา (Oedipus Complex for boys and Electra Complex for girls)
ขั้นก่อนวัยรุ่น (Latency Stage):
- ช่วงอายุ: 6-11 ปี
- ลักษณะ: ช่วงเวลาที่ความสนใจทางเพศลดลง และเด็กจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนและทักษะทางสังคม
ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage):
- ช่วงอายุ: ตั้งแต่วัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่
- ลักษณะ: การพัฒนาความสนใจทางเพศในเพศตรงข้ามและการสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญทางเพศและอารมณ์ เป็นช่วงที่บุคคลจะมีความต้องการทางเพศที่เป็นผู้ใหญ่
2. โครงสร้างของบุคลิกภาพ
ฟรอยด์ได้เสนอว่าโครงสร้างของบุคลิกภาพประกอบด้วยสามส่วนหลัก
1.อิด (Id)
- ลักษณะ: ส่วนที่เป็นจิตไร้สำนึกและมีแรงผลักดันตามธรรมชาติ เช่น ความต้องการและแรงกระตุ้นที่มุ่งเน้นไปที่ความพึงพอใจ (Pleasure Principle)
2. อีโก้ (Ego)
- ลักษณะ: ส่วนที่พัฒนาขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ใช้หลักแห่งความจริง (Reality Principle) เพื่อควบคุมและจัดการแรงกระตุ้นของอิดและความต้องการของซุปเปอร์อีโก้ให้เหมาะสมกับความจริง
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Super Ego):
- ลักษณะ: ส่วนที่เกิดจากค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมที่ได้รับจากพ่อแม่และสังคม เป็นส่วนที่คอยควบคุมและตัดสินความถูกต้องและผิดพลาด (Ego Ideal และ Conscience)
3.ความสมดุลของบุคลิกภาพ
ฟรอยด์เชื่อว่าบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่ดีจะสามารถปรับตัวให้เกิดความสมดุลระหว่างแรงกระตุ้นตามธรรมชาติของอิด (Id) กับมาตรฐานจริยธรรมของซุปเปอร์อีโก้ (Super Ego) โดยการใช้ความสามารถของอีโก้ (Ego) ในการจัดการและควบคุมความต้องการและแรงกระตุ้นอย่างเหมาะสม ทฤษฎีของฟรอยด์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวคิดด้านจิตวิทยา และยังคงมีอิทธิพลต่อการศึกษาพัฒนาการทางจิตใจและบุคลิกภาพในปัจจุบัน แม้ว่าแนวคิดบางประการอาจถูกวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบใหม่ ๆ แต่แนวคิดพื้นฐานของเขายังคงมีความสำคัญในการทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์
🍄ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของ อิริคสัน (Erik Erikson)
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของ อิริคสัน (Erik Erikson) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญในการทำความเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ตลอดชีวิต อิริคสัน (1902-1994) นักจิตวิทยาชาวเยอรมันที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์ ได้พัฒนาทฤษฎีนี้ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเน้นที่การพัฒนาของบุคลิกภาพตลอดช่วงชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นวัยเด็กและวัยรุ่น
อิริคสันเสนอว่าการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์แบ่งออกเป็น 8 ขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นมีความท้าทายเฉพาะและประสบการณ์ที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพ:
ขั้นความเชื่อใจหรือขาดความเชื่อใจ (Trust vs. Mistrust):
ช่วงอายุ: 0-1 ปี
ลักษณะ: เด็กจะพัฒนาความรู้สึกว่าตนเองเป็นที่ยอมรับและสามารถไว้วางใจผู้อื่นได้ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของพ่อแม่ เช่น การให้อาหาร การอุ้ม และความรัก ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอจะพัฒนาความเชื่อใจ แต่ถ้าไม่ได้รับจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ
ขั้นการควบคุมด้วยตนเองหรือสงสัย/อาย (Autonomy vs. Doubt or Shame):
ช่วงอายุ: 2-3 ปี
ลักษณะ: เด็กเรียนรู้การควบคุมตนเองและสภาพแวดล้อม เช่น การขับถ่ายและการเดิน เด็กที่ได้รับการสนับสนุนและอิสระจะพัฒนาความรู้สึกถึงความสามารถของตนเอง แต่ถ้าพ่อแม่เข้มงวดหรือควบคุมมากเกินไป จะทำให้เด็กเกิดความสงสัยและความละอาย
ขั้นการริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative vs. Guilt):
ช่วงอายุ: 3-6 ปี
ลักษณะ: เด็กมีความกระตือรือร้นในการสำรวจสิ่งต่าง ๆ และเริ่มเรียนรู้บทบาททางเพศและค่านิยมของครอบครัว หากเด็กได้รับโอกาสในการสำรวจและเรียนรู้โดยไม่ถูกขัดขวาง จะพัฒนาความรู้สึกริเริ่ม แต่ถ้าไม่ได้รับโอกาสหรือถูกตำหนิบ่อย ๆ จะทำให้เกิดความรู้สึกผิด
ขั้นการประสบความสำเร็จ ความขยันหมั่นเพียรหรือรู้สึกด้อย (Industry vs. Inferiority):
ช่วงอายุ: 6-12 ปี
ลักษณะ: เด็กพัฒนาความสามารถและความขยันในการทำงาน ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนและกลุ่ม หากเด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้และแข่งขัน จะรู้สึกมีคุณค่า แต่ถ้ารู้สึกไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีจะนำไปสู่ความรู้สึกด้อย
ขั้นการรู้จักตนเองหรือความสับสนไม่รู้สึกตนเอง (Identity vs. Diffusion):
ช่วงอายุ: 13-17 ปี
ลักษณะ: วัยรุ่นจะค้นหาตัวตนและสร้างความเป็นตัวตนโดยมีผู้ใหญ่และสังคมมีอิทธิพล หากวัยรุ่นสามารถค้นหาความเป็นตัวตนที่ชัดเจนได้จะพัฒนาความรู้สึกมั่นคง แต่ถ้าสับสนหรือไม่สามารถค้นหาความเป็นตัวตนได้จะนำไปสู่ความรู้สึกไม่แน่ใจในตนเอง
ขั้นรู้สึกโดดเดี่ยว (Intimacy vs. Isolation):
ช่วงอายุ: 18-22 ปี
ลักษณะ: เป็นช่วงที่ผู้ใหญ่เริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่น หากสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีความหมายได้ จะรู้สึกถึงความใกล้ชิดและความพอใจ แต่ถ้าไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้จะนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยว
ขั้นความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่หรือความรู้สึกเฉื่อยชา (Generativity vs. Stagnation):
ช่วงอายุ: 22-40 ปี
ลักษณะ: เป็นช่วงที่บุคคลมุ่งเน้นการสร้างสิ่งที่มีความหมาย เช่น ครอบครัว งาน และการมีส่วนร่วมในสังคม หากสามารถทำหน้าที่อย่างเต็มที่และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม จะรู้สึกถึงความสำเร็จและความเป็นประโยชน์ แต่ถ้ารู้สึกว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ จะนำไปสู่ความรู้สึกเฉื่อยชา
ขั้นความมั่งคั่ง สมบูรณ์ หรือหมดหวัง ทอดอาลัยชีวิต (Integrity vs. Despair):
ช่วงอายุ: 40 ปีขึ้นไป
ลักษณะ: เป็นช่วงที่บุคคลทบทวนชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด หากรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตที่ดีและประสบความสำเร็จ จะรู้สึกถึงความภูมิใจและความสมบูรณ์ แต่ถ้ารู้สึกว่าชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือมีความรู้สึกเสียใจจะนำไปสู่ความสิ้นหวัง
อิริคสันให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อแม่และครอบครัวในการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก โดยเฉพาะในช่วงต้นของพัฒนาการ (ขั้น 1-3) ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ การอบรมเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมและการตอบสนองต่อความต้องการของเด็กจะส่งผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพในระยะยาว
ทฤษฎีของอิริคสันนำเสนอแนวทางที่ครอบคลุมในการเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์ตลอดช่วงชีวิต โดยเน้นที่การพัฒนาความสามารถในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ทฤษฎีนี้มีความสำคัญในด้านการศึกษา การบำบัด และการเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์
แนวคิดนักทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย
ที่มา:youtube:STOU CHANNEL