ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษาของผู้จัดทำข้อตกลงซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะชำนาญการ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะชำนาญการ คือการ การแก้ไขปัญหา การพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือมีพัฒนาการมากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
ประเด็น ท้าทายเรื่อง “รูปแบบการประยุกต์ใช้ CLASS Model ในการพัฒนาห้องเรียนเพื่ออนาคต (Future-Ready Classroom) เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน อาชีวศึกษา”
1. สภาพปัญหาการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
สภาพปัญหาในปัจจุบันพบว่า การจัดการเรียนการสอนในหลายรายวิชายังคงใช้วิธีการแบบดั้งเดิม (Traditional Lecture-Based) ที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ทางเดียว (One-way Communication) มีการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่จำกัด ส่งผลให้ผู้เรียนขาดทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเชิงซ้อน การทำงานร่วมกัน และการคิดสร้างสรรค์ (4Cs) รวมถึงทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) ที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมของห้องเรียนบางส่วนยังไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบActive Learning และขาดแพลตฟอร์มหรือทรัพยากรที่ทันสมัยสำหรับการฝึกปฏิบัติจริงที่เชื่อมโยงกับโลกการทำงาน อันเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติที่มีสมรรถนะสูงและพร้อมสำหรับอนาคต (Future-Ready Graduates)
จากการวิเคราะห์สถานการณ์และบริบทของสถานศึกษา อาชีวศึกษา ในปัจจุบัน พบว่ามีสภาพปัญหาและความท้าทายในการบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่สำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นประเด็นใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1.1 ปัญหาด้านผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ต่ำ ผู้เรียนขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเชิงซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) ในระดับที่ลึกซึ้งการเรียนแบบ passive กระบวนการเรียนรู้ยังคงเป็นแบบครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) ผู้เรียนส่วนใหญ่รับความรู้แบบเชิงเดียว ขาดโอกาสในการลงมือปฏิบัติจริง คิดค้น และสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ตอบโจทย์การทำงานในโลกจริงแรงจูงใจและengagement ต่ำ ผู้เรียนบางส่วนขาดแรงจูงใจในการเรียน รู้สึกว่าเนื้อหาการเรียนไม่เชื่อมโยงกับอาชีพและการทำงานในอนาคต นำไปสู่ปัญหาการเข้าเรียนและการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองต่ำ ผู้เรียนยังคงพึ่งพาครูเป็นหลัก ขาดทักษะในการแสวงหาความรู้ ประเมินข้อมูล และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning)
1.2 ปัญหาด้านครูและกระบวนการจัดการเรียนการสอน
รูปแบบการสอนแบบดั้งเดิม ครูส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการสอนแบบบรรยายและสาธิตเป็นหลัก ขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) และกระตุ้นให้เกิดการคิดขั้นสูงการบูรณาการเทคโนโลยีไม่ลึกซึ้ง การใช้เทคโนโลยีมักจำกัดอยู่เพียงการนำเสนอ (Presentation) หรือการค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ขาดการออกแบบกิจกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ การ colaborate และการสร้างนวัตกรรม (Technology for Creation and Collaboration) การวัดและประเมินผล วิธีการประเมินผลยังเน้นการท่องจำและการวัดความรู้เชิงข้อเท็จจริง (Knowledge-Based) ขาดการประเมินทักษะกระบวนการ (Process Skills) ทักษะด้านอารมณ์และสังคม (Socio-Emotional Skills) และผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติ (Performance-Based Assessment) ภาระงานนอกเหนือการสอน ครูมีภาระงานจำนวนมาก ทำให้มีเวลาจำกัดสำหรับการออกแบบการเรียนการสอนใหม่ๆ การผลิตสื่อ และการโค้ชผู้เรียนเป็นรายบุคคล
1.3 ปัญหาด้านโครงสร้างและการบริหารจัดการ
หลักสูตรและสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบใหม่ หลักสูตรที่เข้มงวด ตารางเรียนที่แบ่งเป็นชั่วโมงสั้นๆ และสภาพแวดล้อมทางกายภาพของห้องเรียน (โต๊ะเรียนเรียงแถว) ไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Collaboration, Project-Based Learning หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่อง การพัฒนาครูที่ไม่ต่อเนื่องและไม่ตรงจุด โครงการพัฒนาวิชาชีพ (PLC, Training) บางครั้งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของครูและผู้เรียน หรือขาดการติดตามผลและการโค้ชอย่างต่อเนื่องหลังการฝึกอบรม
การขาดแคลนทรัพยากรและเทคโนโลยีการสนับสนุนด้านงบประมาณ อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับการสร้างห้องเรียนอนาคตยังมีไม่เพียงพอหรือไม่ทั่วถึง วัฒนธรรมองค์กรที่การเปลี่ยนแปลงความคุ้นเคยกับวิธีการแบบเดิมๆ ทำให้เกิดการต่อต้าน เต็มใจในการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนและจัดการเรียนรู้ของบุคลากรบางส่วน
1.4 ปัญหาด้านการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
ทักษะไม่ตรงตามความต้องการอุตสาหกรรม ทักษะที่ผู้เรียนได้รับอาจล้าหลังหรือไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดงานและอุตสาหกรรมยุคใหม่การมีส่วนร่วมของภาคอุตสาหกรรมและชุมชนยังจำกัด ความร่วมมือกับภาคเอกชนและชุมชนยังไม่แข็งแรงและไม่ต่อเนื่องในหลายๆ พื้นที่ ทำให้ขาดแหล่งเรียนรู้จริงและ Mentor จากภายนอก
กล่าวโดยสรุป สภาพปัญหาข้างต้นล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพผู้เรียน ซึ่งเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของการจัดการศึกษา สถานศึกษาอาชีวศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารจัดการและการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาไปสู่การเป็น "Future-Ready Institution" ที่สามารถผลิตกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง พร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตในโลกอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำ CLASS Model มาใช้นับเป็นกรอบแนวทางหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม