เชิงคุณภาพ
1. ระดับครู
- ร้อยละ 80 ของครูผู้สอนออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ไม่น้อยกว่า 1 หน่วยการเรียน/ภาคเรียน
- ร้อยละ 70 ของครูใช้เครื่องมือดิจิทัลสำหรับการสร้างสรรค์และการ Colaborate ในการจัดการเรียนรู้
- จำนวนชั่วโมงการพัฒนาวิชาชีพแบบ Coaching ที่ครูได้รับเพิ่มขึ้นร้อยละ 50
2 ระดับผู้เรียน
- อัตราการเข้าเรียนเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 85
- ผู้เรียนร้อยละ 75 มีผลงานจากการทำโครงการ (Project Work) หรือชิ้นงาน (Portfolio) ที่แสดงถึงการพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21
- อัตราการผ่านการประเมินทักษะปฏิบัติ (Practical Skills Assessment) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15
3 ระดับสถานศึกษา
- มีหลักสูตรที่ได้รับการปรับปรุงให้ยืดหยุ่นและบูรณาการกับภาคอุตสาหกรรมแล้วไม่น้อยกว่า 3 สาขาวิชา
- มีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบใหม่ (Collaborative Space/Maker Space) อย่างน้อย 1 แห่ง
- มีข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 แห่ง
เชิงปริมาณ
การพัฒนาการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือมีพัฒนาการมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการดำเนินการประเด็นท้าทายในเรื่องนี้ เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) เปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ จากครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) เป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) ที่เน้นการลงมือปฏิบัติและพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21
2) พัฒนาศักยภาพครู ให้สามารถออกแบบและจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ทั้งหลักสูตร สภาพแวดล้อมทางกายภาพและการบริหารเวลา
4) สร้างความร่วมมือที่แข็งแกรงกับภาคอุตสาหกรรมและชุมชน เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการจริงของตลาดงาน
การวิจัยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 การเตรียมการและสร้างการมีส่วนร่วม จัดตั้งคณะทำงาน Task Force สำเร็จ ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียครบทุกกลุ่ม จัดเวทีเสวนาและศึกษาดูงาน สร้างความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจให้คณะครู มีแผนแม่บท (Master Plan) ที่ชัดเจน เป็นที่ยอมรับและใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
ระยะที่ 2 การพัฒนาศักยภาพครู จัด Workshop ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการไปแล้ว 8 ครั้ง คัดเลือกและพัฒนาครูต้นแบบ (Champion Teachers) ได้ 15 คน จัดระบบพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring) และลดภาระงานธุรการบางส่วนแล้ว
ระยะที่ 3 การปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้และโครงสร้าง ปรับตารางเรียนเพิ่ม "Project Block" ใน 5 สาขาวิชานำร่องแล้ว พัฒนาพื้นที่ Learning Commons และ Maker Space อย่างละ 1 แห่ง มีระบบสนับสนุนเทคโนโลยีที่รวดเร็วขึ้น
ระยะที่ 4 การสร้างความร่วมมือกับภายนอก จัดตั้งคณะกรรมการภาคอุตสาหกรรม (PAC) ครบทั้ง 8 สาขาวิชามีฐานข้อมูลพันธมิตรภาคอุตสาหกรรมและจัดการเชื่อมโยงแล้ว มีโครงการที่ได้รับโจทย์จริง (Real-world Challenge) 12 โครงการ
ระยะที่ 5 การติดตามและประเมินผล เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องมือหลากหลาย จัดประชุมสะท้อนผล (Retrospective Meeting) เป็นประจำทุกเดือน
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย แบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) ซึ่งเก็บรวมทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
แบบสอบถาม (Questionnaire) 5 ส่วน รวม 45ข้อวัดการรับรู้และความพึงพอใจของครูและผู้เรียนต่อการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัตถุประสงค์แบ่งเป็น
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป(5 ข้อ)
ส่วนที่ 2 วัตถุประสงค์ที่ 1 (10 ข้อ) กระบวนการเรียนรู้
ส่วนที่ 3 วัตถุประสงค์ที่ 2 (10 ข้อ)ศักยภาพครู
ส่วนที่ 4 วัตถุประสงค์ที่ 3 (10 ข้อ)โครงสร้างและสภาพแวดล้อม
ส่วนที่ 5 วัตถุประสงค์ที่ 4 (10 ข้อ) ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม
แบบสังเกตการณ์ (Observation Form) 1 แบบฟอร์ม 4 ด้านสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูและพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนในห้องเรียน แนวคำถามการสนทนากลุ่ม (FGD) 4 ชุดคำถามหลักสนทนากลุ่มกับครูและผู้เรียนเพื่อเจาะลึกถึงประสบการณ์ อุปสรรค และข้อเสนอแนะ
แบบสัมภาษณ์ (Interview) กึ่งโครงสร้างสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารและตัวแทนภาคอุตสาหกรรม
กลุ่มเป้าหมายในการเก็บข้อมูล ครูผู้สอน ในสาขาที่เข้าร่วมโครงการผู้เรียน ที่ลงทะเบียนในรายวิชาที่ใช้โมเดล CLASS ผู้บริหาร และ ตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ในคณะกรรมการ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ค่าเฉลี่ย (Mean) ใช้วิเคราะห์ระดับการยอมรับหรือความพึงพอใจโดยรวมต่อแต่ละวัตถุประสงค์ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation): ใช้วิเคราะห์ความเห็นที่กันของกลุ่มตัวอย่าง หากค่าสูงแสดงว่าความคิดเห็นแตกต่างกันมาก ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้แสดงข้อมูลทั่วไปและความถี่ของคำตอบ สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) (ใช้เปรียบเทียบผลก่อนและหลังโครงการ) t-test ( dependent sample): ใช้ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกันก่อนและหลังการดำเนินโครงการ (Pre-test & Post-test) เพื่อวัดว่าการเปลี่ยนแปลง นัยสำคัญทางสถิติหรือไม่ และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการดำเนินการและผลลัพธ์ที่เกิดจากประเด็นท้าทาย พบว่า
1. เปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้สู่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผลการดำเนินงาน ครูมากกว่า 85% สามารถออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning (PBL, Design Thinking) ในรายวิชาหลักได้พบการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเวลาในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ (Hands-on) ในห้องเรียนผู้เรียนแสดงให้เห็นทักษะศตวรรษที่ 21 ในระหว่างการทำโครงการ เช่น การทำงานร่วมกัน การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ผลลัพธ์ (จากแบบประเมินการสังเกตการสอนและแบบสอบถามผู้เรียน) ค่าเฉลี่ย 4.25/5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45คะแนนสูงแสดงว่าการเปลี่ยนแนวทางเป็นไปด้วยดี แต่ยังมีส่วนเบี่ยงเบนปานกลาง แสดงว่ายังมีครูบางส่วนที่ต้องได้รับการพัฒนาหรือสนับสนุนเพิ่มเติม
2. พัฒนาศักยภาพครู ผลการดำเนินงาน จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการไปแล้ว 8 ครั้ง มีครูเข้าร่วมรวมกว่า 280 คน จัดตั้งระบบพี่เลี้ยง (Coaching) โดยมี "ครูต้นแบบ" (Champion Teachers) จำนวน 15 คน ที่ทำหน้าที่โค้ชและสนับสนุนครูอื่นอย่างต่อเนื่อง ครูรายงานว่ามีความมั่นใจในการใช้เครื่องมือดิจิทัล (Google Workspace, AI tools) เพื่อการจัดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ (จากแบบประเมินความสามารถของครูหลังฝึกอบรมและ coaching)ค่าเฉลี่ย 4.40/5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.38 ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในทุกวัตถุประสงค์ สะท้อนว่าการพัฒนาครูเป็นจุดแข็งของโครงการนี้ และมีการกระจายตัวของคะแนนต่ำ แสดงว่าครูส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง
3. ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและสภาพแวดล้อม ผลการดำเนินงาน ปรับปรุงตารางเรียนใน 5 สาขาวิชาแรกแล้ว เพื่อเพิ่มช่องเวลา "Project Block" 3-5 ชั่วโมง/สัปดาห์ พัฒนา "Learning Commons" และ "Maker Space" อย่างละ 1 แห่ง ซึ่งเปิดใช้แล้วและได้รับFeedback ในเชิงบวก มีระบบสนับสนุนเทคโนโลยี (Helpdesk) ที่ตอบสนองการ ปัญหาภายใน 24 ชั่วโมง ผลลัพธ์ (จากแบบสอบถามความพึงพอใจของครูและผู้เรียนต่อสภาพแวดล้อม) ค่าเฉลี่ย 3.95/5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65 ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดและส่วนเบี่ยงเบนสูงสุด สะท้อนถึงประเด็นท้าทาย หลักของโครงการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ใช้เวลานาน และบางครั้งเกิดความไม่สะดวกในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้การรับรู้ผลลัพธ์ยังไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งสถาบัน
4. สร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ผลการดำเนินงาน จัดตั้งคณะกรรมการภาคอุตสาหกรรมประจำสาขาวิชา (PAC) ครบทั้ง 8 สาขาวิชา มีโครงการที่ได้รับ "โจทย์จริง" (Real-world Challenge) จาก empresas จำนวน 12 โครงการ มีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาเป็น Guest Speaker และ Mentor มากกว่า 20 ครั้ง ผลลัพธ์ (จากแบบประเมินความพึงพอใจของครูและภาคอุตสาหกรรมต่อรูปแบบความร่วมมือ) ค่าเฉลี่ย 4.10/5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50
อ้างอิงจากเล่ม รายงานประเด็น ท้าทาย เรื่อง รูปแบบการบริหาร“การประยุกต์ใช้ CLASS Model ในการพัฒนาห้องเรียนเพื่ออนาคต (Future-Ready Classroom) เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน อาชีวศึกษา”