เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะดำเนินการตามกรอบแนวคิด CLASS Model ซึ่งเป็นโมเดลที่พัฒนาขึ้นโดยสถานศึกษา โดยมีรายละเอียดวิธีการดังนี้
C - Collaborative Learning Environment: จัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและดิจิทัล
ใหม่เพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ปรับเปลี่ยนการจัดห้องเรียนแบบยืดหยุ่น (Flexible Seating) พัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Zones) และใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น Microsoft Teams หรือ Google Workspace สำหรับการร่วมโครงการ
L - Learning with Innovation and Technology: บูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม
การเรียนรู้ที่ทันสมัยเข้าสู่กระบวนการสอน เช่น การใช้ Simulation Software, AR/VR สำหรับการฝึกทักษะอาชีพ การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน (PBL) และการสร้างคลิปความรู้สั้นๆ (Micro-learning) โดยจัดหาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็น และจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้ครูสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
A - Active Learning Pedagogy: ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) ผ่านวิธีการ การเรียนรู้โดยใช้โครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning), การเรียนรู้แบบห้องเรียน (Flipped Classroom) และการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) โดยจัดชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ให้ครูได้ร่วมออกแบบและสะท้อนคิดบทเรียน
S - Skills and Competencies Development: ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่มุ่ง
พัฒนาสมรรถนะหลัก (Core Competencies) ทั้งทักษะ (Hard Skills) ด้านวิชาชีพและทักษะ (Soft Skills) อย่างชัดเจน จัดการประเมินผลสมรรถนะ (Competency-Based Assessment) และส่งเสริมการสะสมผลงานในแฟ้มสะสมงานดิจิทัล (Digital Portfolio)
S - Standard and Quality Assurance: พัฒนามาตรฐานและตัวชี้วัดคุณภาพของ
"Future-Ready Classroom" ที่ชัดเจน ทำการติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง melalui classroom observation การสัมภาษณ์ผู้เรียนและครู และการวิเคราะห์ข้อมูลผลลัพธ์การเรียน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
1.1 กำหนดวัตถุประสงค์
1) เปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ จากครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Centered) เป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) ที่เน้นการลงมือปฏิบัติและพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21
2) พัฒนาศักยภาพครู ให้สามารถออกแบบและจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ทั้งหลักสูตร สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และการบริหารเวลา
4) สร้างความร่วมมือที่แข็งแกรงกับภาคอุตสาหกรรมและชุมชน เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการจริงของตลาดงาน
1.2 กำหนดการดำเนินงาน
ขอบเขตการดำเนินงานแบ่งการวิจัย ออกเป็น 5 ระยะ (วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568) ดังนี้
ระยะที่ 1: การเตรียมการและสร้างการมีส่วนร่วม (เดือน 1-3)
- จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อน (Task Force) ประกอบด้วย ตัวแทนผู้บริหาร ครูหัวหน้ากลุ่มสาระ ตัวแทนครูรุ่นใหม่ และตัวแทนภาคอุตสาหกรรม
- ทำความเข้าใจและสร้างการยอมรับ (Buy-in):
o จัดเวทีเสวนาเพื่อระดมความคิดเห็นและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้กับ ครูและบุคลากร
o นำคณะครูศึกษาดูงานสถาบันที่ประสบความสำเร็จในการนำโมเดล CLASS ไปใช้
- จัดทำแผนแม่บท (Master Plan) ที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมายย่อย กิจกรรมหลัก ระยะเวลา และผู้รับผิดชอบให้ครบถ้วน
ระยะที่ 2: การพัฒนาศักยภาพครู (ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เริ่มเดือน 4 เป็นต้นไป)
- จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ที่ตรงจุด:
o รูปแบบการสอน: การออกแบบกิจกรรม Project-Based Learning, Problem-Based Learning, Design Thinking
o เทคโนโลยี: การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการสร้างสรรค์ (เช่น การทำวีดีโอ, การสร้างแอนิเมชัน, การใช้ AI เพื่อการศึกษา) และการ colaborate (เช่น Google Workspace, MIRO)
o การประเมินผล: การสร้าง Rubric สำหรับประเมินทักษะกระบวนการและผลงาน (Performance Assessment)
- จัดระบบพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring):
o คัดเลือก "ครูต้นแบบ" ( Champion Teachers) ที่มีศักยภาพเพื่อรับการฝึกโค้ชจากภายนอก จากนั้นให้ทำหน้าที่โค้ชและสนับสนุนครูอื่นในสถานศึกษา
o จับคู่ครูรุ่นใหม่กับครูที่มีประสบการณ์เพื่อเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน
- ลดภาระงานธุรการของครู เพื่อให้มีเวลาเตรียมการสอนและออกแบบกิจกรรมมากขึ้น
ระยะที่ 3: การปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้และโครงสร้าง (เริ่มเดือน 6 เป็นต้นไป)
- ปรับปรุงหลักสูตรให้ยืดหยุ่น: สร้างช่องว่างในตารางเรียนสำหรับการทำโครงการ (Project Block) ที่ใช้เวลาต่อเนื่อง 3-5 ชั่วโมง/สัปดาห์
- ออกแบบสภาพแวดล้อมใหม่: ปรับเปลี่ยนห้องเรียนเดิมและพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ (Learning Commons) ที่มีเฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายได้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และอุปกรณ์สำหรับการสร้างนวัตกรรม (Maker Space)
- จัดหาทรัพยากรเทคโนโลยี ที่จำเป็นอย่างเพียงพอและมีแผนซ่อมบำรุงที่รวดเร็ว
ระยะที่ 4: การสร้างความร่วมมือกับภายนอก (เริ่มเดือน 4 เป็นต้นไป)
- จัดทำฐานข้อมูลเครือข่ายพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม (Industry Partners Database)
- จัดตั้งคณะกรรมการภาคอุตสาหกรรมประจำสาขาวิชา (Program Advisory Committee) เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรและทักษะที่ต้องการ
- พัฒนารูปแบบการร่วมมือ: เชิญผู้เชี่ยวชาญมาเป็น Guest Speaker, Mentor สำหรับโครงการของนักศึกษา, การจัดโครงการที่ได้รับโจทย์จริง (Real-world Challenge) จาก empresas, และการจัดฝึกงานอย่าง
ระยะที่ 5: การติดตามและประเมินผล (ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง)
- กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่ชัดเจนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
- ใช้แบบสอบถาม การสังเกตการณ์ และการสนทนากลุ่ม (FGD) เพื่อเก็บข้อมูลจากครูและผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ
- จัดประชุมสะท้อนผล (Retrospective Meeting) ทุก เพื่อทบทวน what went well, what could be improved