Embedded Files
ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านในเดาความหมายของคำศัพท์ จับใจความสำคัญ ระบุรายละเอียดและวัตถุ ประสงค์ของผู้เขียน อ้างอิงความ เรียงลำดับความ แยกแยะข้อความที่เป็นข้อเท็จจริงและข้อความที่เป็นข้อคิดเห็น วิเคราะห์ความ สรุปความ สำคัญ จากเรื่องที่อ่าน ประเภทสารคดีและบันเทิงโดยเน้นการฝึกทักษะและกลวิธีการอ่านที่หลากหลาย
2. เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ประโยคและข้อความในรูปแบบต่างๆโดยใช้คำศัพท์ สำนวนโครงสร้างภาษาพร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ ในเรื่องราว เหตุการณ์ ต่าง ๆ บทความ จากข่าว สารคดี นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี ที่เป็นความเรียงและไม่ใช่ความเรียง อย่างหลากหลายและอยู่ในความสนใจของผู้เรียน
3. สังคม ผู้เรียนเห็นประโยชน์และคุณค่าของการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญ ต่าง ๆได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้ที่มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน และเห็นคุณค่าของการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ รวมทั้งมี ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตลอดจนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษ
1.1 Bad and Good Mutations
1.1 Bad and Good Mutations
Knowledge
Knowledge
คำศัพท์
carcinogen(n) = สารที่ทำให้เกิดมะเร็ง
mutation (n) = การกลายพันธุ์
trait (n) = ลักษณะเฉพาะ
radiation (n) = รังสี
offspring(n) = ลูกหลาน
evolution (n) = วิวัฒนาการ
distort (v) = บิดเบือน ทำให้ผิดรูป
inherit (v) = สืบทอด
gene (n) = ยีน
hereditary (adj) = ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์
reproduction(n) = การสืบพันธุ์
ข้อมูลพื้นฐาน
ข้อมูลพื้นฐาน
ยีน คือ ส่วนหนึ่งของโครโมโซม (Chromosome segment) ที่ถอดรหัส ได้เป็นสายพอลิเพปไทด์หนึ่งสายที่ทำงานได้ (single functional polypeptide) หรือได้เป็นอาร์เอ็นเอ ยีน ประกอบด้วย ส่วนที่สามารถถอดรหัสเป็นอาร์เอ็นเอได้ เรียกว่า exon และ บริเวณที่ไม่สามารถถอดรหัสได้ เรียกว่า intronยีนสามารถเป็นได้ทั้งดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอก็ได้ แต่ในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนั้นจะเป็นดีเอ็นเอทั้งหมดเพราะมีความเสถียรมากเหมาะแก่การเก็บข้อมูล ขณะที่อาร์เอ็นเอจะพบในพวกไวรัส ยีนทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหรือเซลล์จะรวมเรียกว่า จีโนม และโครงสร้างของจีโนมในพวกโปรคาริโอตและยูคาริโอตจะแตกต่างกัน ถ้ายีนเกิดผิดไปจากปกติเรียกว่า การกลายพันธุ์ ซึ่งเกิดเองตามธรรมชาติหรือถูกกระตุ้นให้เกิดก็ได้ โดยส่วนมากแล้วเมื่อยีนเกิดผิดปกติไปจะส่งผลเสียต่อสิ่งมีชิวิตนั้นมากกว่าผลดี เช่น ในคน สามารถทำให้ป่วย เจ็บไข้ หรือถึงแก่ชีวิตได้ โรคที่เกิดจากสาเหตุนี้เรียกว่า โรคทางพันธุกรรม ซึ่งจะถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปหรือไม่ก็ได้
โครโมโซม (chromosome) เป็นที่อยู่ของหน่วยพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม ลักษณะดวงตา เพศ และสีผิว
(Source : th.wikipedia.org/wiki/โครโมโซม#/media/file:NHGRI_human_male_karyotype.png) หน่วยพันธุกรรม
Passage : Bad and Good Mutations
Passage : Bad and Good Mutations
Track 06.mp3
Track 06.mp3
(Source : Chapter 3 The World of Our Bodies, Unit 6 "Bad and Good Mutations", Reading the World Now 2, page 36-37.
1.2 Facing Phobias ( The World of Psychology)
1.2 Facing Phobias ( The World of Psychology)
ความรู้ (Knowledge)
ความรู้ (Knowledge)
คำศัพท์
คำศัพท์
anxiety (n) = ความกังวล
anxiety (n) = ความกังวล
pleasure (n) = ความพอใจ
pleasure (n) = ความพอใจ
displace (v) = เคลื่อนที่
displace (v) = เคลื่อนที่
terror (n) = ความหวาดกลัว
terror (n) = ความหวาดกลัว
feedback (n) = การตอบกลับ
feedback (n) = การตอบกลับ
trauma (n) = ความบอกช้ำ การบาดเจ็บ
trauma (n) = ความบอกช้ำ การบาดเจ็บ
panic (adj) = หวั่นวิตก
panic (adj) = หวั่นวิตก
phobia (n) = ความกลัว
phobia (n) = ความกลัว
desire (n) = ความปรารถนา
desire (n) = ความปรารถนา
specific (ad.) = โดยเฉพาะ
specific (ad.) = โดยเฉพาะ
evaluation (n) = การประเมินค่า
evaluation (n) = การประเมินค่า
translate (v) = แปล
translate (v) = แปล
negotiate (v) = เจรจา
negotiate (v) = เจรจา
uncontrollable (adj) = ที่ควบคุมไม่ได้
uncontrollable (adj) = ที่ควบคุมไม่ได้
cope (v) = รับมือได้; cope with (phrv) จัดการกับ
cope (v) = รับมือได้; cope with (phrv) จัดการกับ
rational (adj) = ที่มีเหตุผล
rational (adj) = ที่มีเหตุผล
embarrassment (n) = ความเป็นอาย
embarrassment (n) = ความเป็นอาย
transfer (v) = ย้าย,เคลื่อนย้าย เปลี่ยน
transfer (v) = ย้าย,เคลื่อนย้าย เปลี่ยน
habitual (adj) = ที่เป็นนิสัย
habitual (adj) = ที่เป็นนิสัย
treatment (n) = การรักษา
treatment (n) = การรักษา
ข้อมูลพื้นฐาน
ข้อมูลพื้นฐาน
อาการโดยรวมที่พบได้ในภาวะความเจ็บป่วยของโรคทางจิต
อาการโดยรวมที่พบได้ในภาวะความเจ็บป่วยของโรคทางจิต
1. มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง
1. มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง
ผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้า ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา
ผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้า ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา
2. ประสาทหลอน
2. ประสาทหลอน
ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่งให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูดหรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า "หูแว่ว" ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่งของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็นเหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า "เห็นภาพหลอน"
ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่งให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูดหรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า "หูแว่ว" ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่งของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็นเหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า "เห็นภาพหลอน"
3. ความคิดหลงผิด
3. ความคิดหลงผิด
ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมของผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจายออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมของผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจายออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
4. ความคิดผิดปกติ
4. ความคิดผิดปกติ
ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว
ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว
5. การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
5. การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่งขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก)พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภทจะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดงน้ำเสียงใดๆ (monotone) ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรังมีบ้างในบางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน
ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่งขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก)พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภทจะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดงน้ำเสียงใดๆ (monotone) ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรังมีบ้างในบางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน
6. ในเรื่องของการฆ่าตัวตาย
6. ในเรื่องของการฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยจิตเภท ถ้าผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายหรือมีการวางแผนที่จะทำอย่างนั้น ควรจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างรีบด่วน เพราะผู้ป่วยจิตเภทมีการฆ่าตัวตายสูง
การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยจิตเภท ถ้าผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายหรือมีการวางแผนที่จะทำอย่างนั้น ควรจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างรีบด่วน เพราะผู้ป่วยจิตเภทมีการฆ่าตัวตายสูง
Vocabulary
Track 23.mp3
Vocabulary Review
Vocabulary Review
Language Form and Meaning
เวลาจะบอกว่า "...มาก" เช่น อร่อยมาก ร้อนมาก มีของมาก เรามักนึกถึง very ซึ่งจริง ๆ แล้ว very ใช้ไม่ได้เสมอไป เรามีคำอื่น ๆ ทั้ง a lot of, so, too ที่ใช้ในความหมายว่า มาก ได้เช่นกัน มาดูหลักการใช้กันค่ะ
เวลาจะบอกว่า "...มาก" เช่น อร่อยมาก ร้อนมาก มีของมาก เรามักนึกถึง very ซึ่งจริง ๆ แล้ว very ใช้ไม่ได้เสมอไป เรามีคำอื่น ๆ ทั้ง a lot of, so, too ที่ใช้ในความหมายว่า มาก ได้เช่นกัน มาดูหลักการใช้กันค่ะ
a lot of
a lot of
- a lot of อยู่หน้าคำนาม (Nouns)
- a lot of อยู่หน้าคำนาม (Nouns)
a lot of + noun หมายถึง ปริมาณมาก หรือ เป็นจำนวนมาก และจำไว้เลยว่า *a lot of สามารถใช้ได้กับทั้งคำนามนับได้ (Countable Nouns) และนับไม่ได้ (Uncountable Nouns)* เช่น
There are a lot of apples. (มีแอปเปิลจำนวนมาก)
Toon drank a lot of water during the marathon. (ตูนดื่มน้ำปริมาณมากระหว่างวิ่งมาราธอน)
ข้อควรระวัง : เราใช้ a lot of และ many กับคำนามได้ แต่ห้ามใช้ very กับคำนามเด็ดขาด
Incorrect : There were very boys in this room.
Correct : There were a lot of boys in this room.
Correct : There were many boys in this room.
- a lot อยู่หลังคำกริยา (Verbs)
- a lot อยู่หลังคำกริยา (Verbs)
Verb + a lot หมายถึง เป็นอย่างมาก หรือ บ่อย ๆ เช่น
I cried a lot when I thought I lost you. (ฉันร้องไห้เป็นอย่างมากเมื่อคิดว่าฉันสูญเสียเธอ)
I read an interesting book. I learned a lot about life. (ฉันอ่านหนังสือที่น่าสนใจ ฉันได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับชีวิต)
ข้อควรระวัง : a lot คือคำสองคำเสมอ อย่าเผลอเขียนติดกันเชียวนะ
Incorrect : My co-worker was on vacation so I worked alot this week.
Correct : My co-worker was on vacation so I worked a lot this week.
so และ very
so และ very
so กับ very แปลว่า มาก เช่นเดียวกัน โดยวางหน้าคำคุณศัพท์ (Adjectives) เพียงแต่ *so จะใช้คู่กับ that เพื่อเป็นการเพิ่มเติมข้อมูล ซึ่งโดยปกติมักเป็นเหตุเป็นผลกัน* เช่น
I was very excited. (ฉันตื่นเต้นมาก)
I was so excited that I couldn’t sleep all the night. (ฉันตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย)
Ploy sings karaoke very beautiful. (พลอยร้องคาราโอเกะเพราะมาก)
Ploy sings karaoke so beautiful that I want to sing like her. (พลอยร้องคาราโอเกะเพราะมาก ดังนั้นฉันจึงอยากร้องเพลงเหมือนเธอ)
ข้อควรระวัง : ห้ามใช้ a lot กับคุณศัพท์ (Adjective)
Incorrect : Ploy sings karaoke a lot beautiful.
ในการพูดอย่างไม่เป็นทางการ โดยทั่วไปเราใช้ really แทน very ได้ เช่น
I was really excited.
Ploy sings karaoke really beautiful.
อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถใช้ really แทนที่ so ได้ และในการพูดอย่างไม่เป็นทางการ บางครั้งก็ใช้ so โดยไม่มีการเพิ่มเติมข้อมูล (ใช้คู่กับ that) โดยเฉพาะเมื่อใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) เช่น
You are so cute! (คุณน่ารักมาก)
That test was so hard! (ข้อสอบนั่นยากมาก)
I’m so excited! (ฉันตื่นเต้นมาก)
too
too
too เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) หมายถึง มากเกินไป ใช้วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เพื่อบอกระดับว่ามันมากเกินไป ซึ่งประโยคจะมีความหมายในเชิงลบ และใช้ในโครงสร้าง too + adj. + to + verb เช่น
This sweater is too big to wear. (สเวตเตอร์ตัวนี้ใหญ่เกินไปที่จะใส่ได้)
That computer is too expensive to buy. (คอมพิวเตอร์นั้นแพงเกินกว่าจะซื้อ)
นอกจากนี้ too ยังหมายถึง อย่างมาก ด้วย เช่น
She is too beautiful! (เธอสวยมาก)
This pizza is too delicious! (พิซซ่านี้อร่อยมาก)
ถ้าใช้ too เพื่อบอกปริมาณของคำนาม มักใช้คู่กับ much หรือ many เช่น
There are too many books on the table. (มีหนังสือมากมายบนโต๊ะ)
I’m not going to travel because it’ll cost too much money. (ฉันจะไม่ไปเที่ยวหรอกเพราะมันใช้เงินมากเกินไป)
สรุปข้อควรระวัง!!
1. a lot of นำหน้านามนับได้และนับไม่ได้ (a lot of + nouns) หมายถึง ปริมาณมาก หรือ จำนวนมาก
2. a lot ตามหลังคำกริยา (verb + a lot) หมายถึง เป็นอย่างมาก หรือ บ่อย ๆ
3. a lot กับ many ใช้กับคำนามได้
4. ห้ามใช้ a lot กับคำคุณศัพท์
5. a lot คือคำสองคำ ห้ามเขียนติดกัน
6. very ใช้นำหน้าคำคุณศัพท์, คำกริยาวิเศษณ์
7. ห้ามใช้ very กับคำนาม
8. การพูดอย่างไม่เป็นทางการใช้ really แทน very ได้
9. ใช้ really แทน so ไม่ได้
1.3 Are You a Loner or a People Person?
1.3 Are You a Loner or a People Person?
Are you loner peron ?
Are you loner peron ?
Are you people person?
Are you people person?
คำศัพท์
คำศัพท์
arousal (r) = ความตื่นเต้น
arousal (r) = ความตื่นเต้น
extrovert (adj.) = ผู้ที่ชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม
extrovert (adj.) = ผู้ที่ชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม
dimension (n) = มิติ
dimension (n) = มิติ
extroversion (n) = การชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม impulsiveness (adj) = ลักษณะหุนหันพลันแล่น
extroversion (n) = การชอบเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม impulsiveness (adj) = ลักษณะหุนหันพลันแล่น
indicator (n) = ตัวชี้วัด
introvert (adj.) = ผู้ที่ชอบครุ่นคิดแต่เรื่องของตัวเอง, สนใจแต่ตนเอง
indicator (n) = ตัวชี้วัด
introvert (adj.) = ผู้ที่ชอบครุ่นคิดแต่เรื่องของตัวเอง, สนใจแต่ตนเอง
introversion (n) = ความชอบครุ่นคิดแต่เรื่องของตัวเอง
introversion (n) = ความชอบครุ่นคิดแต่เรื่องของตัวเอง
intuition (n) = การรู้โดยสัญชาตญาณ
intuition (n) = การรู้โดยสัญชาตญาณ
inward (adj) = เข้าข้างใน
inward (adj) = เข้าข้างใน
perceive (v) = รับรู้
psychology (n) = จิตวิทยา
psycho (n.) = คนโรคจิต
perceive (v) = รับรู้
psychology (n) = จิตวิทยา
psycho (n.) = คนโรคจิต
stimulate (v) = กระตุ้น
social person (n.) = ผู้ที่ชอบเข้าสังคม , พบปะผู้คน
stimulate (v) = กระตุ้น
social person (n.) = ผู้ที่ชอบเข้าสังคม , พบปะผู้คน
The World of Psychology
The World of Psychology
ข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มอาการของโรคจิตที่มีความผิดปกติทางความคิด แบ่งลักษณะอาการออกเป็นทางบวก และอาการทางลบ
ข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มอาการของโรคจิตที่มีความผิดปกติทางความคิด แบ่งลักษณะอาการออกเป็นทางบวก และอาการทางลบ
กลุ่มลักษณะอาการทางบวก หมายถึง อาการที่มีเพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
กลุ่มลักษณะอาการทางบวก หมายถึง อาการที่มีเพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
- ประสาทหลอน เช่นได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ พูดโต้ตอบเสียงนั้นเพียงคนเดียว
- ประสาทหลอน เช่นได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ พูดโต้ตอบเสียงนั้นเพียงคนเดียว
- อาการหลงผิด เช่นคิดว่ามีเทพวิญญาณอยู่ในร่างกาย คอยบอกให้ทำสิ่งต่างๆ
- อาการหลงผิด เช่นคิดว่ามีเทพวิญญาณอยู่ในร่างกาย คอยบอกให้ทำสิ่งต่างๆ
- ความคิดผิดปกติ เช่นพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
- ความคิดผิดปกติ เช่นพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
- พฤติกรรมผิดปกติ เช่นอยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ
- พฤติกรรมผิดปกติ เช่นอยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ
กลุ่มลักษณะอาการทางลบ หมายถึง อาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติ
กลุ่มลักษณะอาการทางลบ หมายถึง อาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติ
ทั่วๆไป ได้แก่
ทั่วๆไป ได้แก่
- สีหน้าอารมณ์เฉยเมย ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ไม่พูด ไม่มีอาการยินดียินร้าย
- สีหน้าอารมณ์เฉยเมย ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ไม่พูด ไม่มีอาการยินดียินร้าย
Anxiety
Anxiety
https://www.ted.com/talks/anne_marie_albano_how_to_raise_kids_who_can_overcome_anxiety#t-71111
Mental Health
Mental Health
https://www.ted.com/talks/hailey_hardcastle_why_students_should_have_mental_health_days#t-46422
Overcoming Anxiety
Overcoming Anxiety
https://www.youtube.com/watch?v=A1anXJhVamc
Who are you, really? The puzzle of personality | Brian Little
Who are you, really? The puzzle of personality | Brian Little
https://www.ted.com/talks/brian_little_who_are_you_really_the_puzzle_of_personality?referrer=playlist-for_the_love_of_introverts&language=en
Introverts
Introverts
https://www.ted.com/talks/sarah_corbett_activism_needs_introverts?referrer=playlist-for_the_love_of_introverts
Power of introverts
Power of introverts
https://www.ted.com/talks/susan_cain_the_power_of_introverts?referrer=playlist-for_the_love_of_introverts#t-126951
Page updated
Report abuse