ประวัติตำบลหัวเตย ชุมชนหัวเตย มีผู้คนอาศัยมาช้านานตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัดเจน เท่าที่ทราบจากบรรพบุรุษที่เล่าต่อ ๆ มาว่า ชุมชนนี้มีหัวหน้าปกครองแบบพ่อปกครองลูก เรียกว่าหัวเมืองขึ้นตรงต่อเมืองไชยา ชุมชนหัวเตย มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลำคลองไหลผ่านชุมชน คลองน้ำนี้มีต้นน้ำไหลมาจากอำเภอคีรีรัฐนิคม ผ่านตำบลบางงอน มาทางบ้านศรีไพรวัลย์ มาออกที่บ้านดีหมี บ้านดอนรี บ้านหัวเตยบน หัวเตยล่างผ่านตำบลศรีวิชัย ตำบลพุนพิน ไปออกแม่น้ำตาปีที่บ้านพุนพิน ตำบลท่าข้าม ลำคลองมีความยาวตั้งแต่ต้นน้ำถึงแม่น้ำตาปีประมาณ 30 กิโลเมตร ตามแนวฝั่งคลองในเขตตำบลหัวเตยตั้งแต่บ้านดีหมีไปออกแม่น้ำตาปี มีต้นไม้น้ำชนิดหนึ่งเรียกว่า "ต้นเตย" ขึ้นงอกเงยงามทั้ง 2 ฝั่ง คนในชุมชนและคนทั่วไปจึงเรียกชุมชนนี้ว่า "ชุมชนหัวเตย" หรือบ้านหัวเตยมานาน จนไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ตั้งชื่อ ตำบลหัวเตย ว่าตำบลหัวเตย แต่พออนุมานได้ว่า ช่อของตำบลคงจะมีมูลเหตุมาจากที่มีต้นเตยมากจึง เรียกว่าตำบลหัวเตยชุมชนนี้แต่เดิมไม่ได้แบ่งหมู่บ้านดังเช่นปัจจุบัน แต่ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ตามแนวคลองหรือตามลุ่มน้ำ หนองน้ำ ตามความเป็นจริง ดังเช่น บ้านหัวเตย บ้านหัวด่าน บ้านหัวสวน บ้านหัวเกาะ บ้านตรอกโนง บ้านนานอก บ้านทายนาง บ้านหนองคลอง บา้นหนองแตน บ้านหนองน้ำใส บ้านนาลึก บ้านดอนสูง บ้านเกาะกลาง บ้านดอนรี บ้านคลองหิน บ้านนอกนำ เป็นต้น คลองหัวเตย แต่เดิมกว่างกว่าปัจจุบันมีน้ำไหลตลอดปีอีกทั้งน้ำทะเลไหลขึ้นลง ประชาชนใช้เรือพาย เรือแจวไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนของกินของใช้แลกผักผลไม้กับข้าวเปลือก ซึ่งเป็นพืชหลักของชาวตำบลหัวเตย ตำบลหัวเตยเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ แต่เดิมฝนตกตามฤดูกาล พอถึงเดือนหก เดือนเจ็ด ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้นำฝนจากมหาสมุทรอินเดียมาตกแถวภูเขาและป่าไม่ในอำเภอคีรีรัฐนิคม น้ำจะไหลหลากลงมาจากคลองศก คลองแสง และคลองยัน จนท่วมทุ่งน้ำหัวเตย ประชาชนจะตกแต่งคันนากักน้ำไว้แล้วไถนาปลูกข้าวไปจนถึงเดือนเก้าอย่างข้าก็เดือนสิบก็จะหมดหน้าที่ทำนาแล้วชาวนาก็จะหาต้นกกเหลี่ยมซึ่งงอกงามตามแถวอ่าวของคลองหรือหนองน้ำใหญ่ ๆ เอามาสานเป็นเสื่อสานเป็นตรุไว้ใส่ข้าว และนอกจากนี้ยังไปตัดต้นกระจูดในท้องที่ตำบลท่าสะท้อนที่บ้านท่านางเอามาานเป็นเสื่อหรือกรงสำหรับใส่ข้าวหลังนวดแล้ว เดือนสี่เดือนห้าหน้าเกี่ยวข้าวก็จะเกี่ยวข้าวมานวดในโรง ซึ่งทำไว้ใกล้บ้าน แล้วเก็บใส่ยุ้งฉางหรือบางคนนวดลานใหญ่ ทำที่นวดกลางแจ้งที่นาแล้ว จึงลากด้วยเลื่อนหรือเกวียนมาเก็บไว้ที่บ้าน ข้าวเปลือกเมื่อก่อนขายได้ราคาถูกมาก เพียงเกวียนละ 300 - 400 บาท เท่านั้น การทำน้ำของตำบลหัวเตยเป็นล่ำเป็นสันติดต่อมาหลายศตวรรษ ราคาข้าวเปลือกก็ดีขึ้นถึงเกวียนละ 8,000 * 9,000 บาท ประชาชนมีเศรษฐกิจดี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำนาข่าวค่อย ๆ ลดลดง เนื่องจากป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ลมฟ้าอากาศแปรปรวนตกน้อยแล้งมากอยู่ไม่กี่ปี หลัง พ.ศ. 2500 นาข้าวค่อย ๆ หมดลงไปทุกปี จนในที่สุดไม่มีนาข้าวให้เห็นได้ดังแต่ก่อน ซึ่งหน้าฝนจะมีข้าวเขียวชอุ่ม และข้าวเหลืองอร่ามในหน้าแล้งห ตำบลหัวเตยนอกจากเป็นแหล่งข้าวแลัวยังเป็นแหล่งสัตว์น้ำจำพวกปลา กุ้ง หอย ปู มากที่สุด โดยเฉพาะในลำคลองหัวเตยและตำบลลุ่มน้ำตามท้องนาไม่ว่าฤดูไหนชาวบ้านจะไม่อดอาหาร หน้าฝนหาปลาตามท้องนาตกปลา วันหนึ่งก็ได้หลายตัว หน้าหนาวน้ำเริ่มลดน้ำจะไหลออกคลอง จะขับปลาด้วยชะนางหรือไซ อีจู้ดักปลา และใช้สุ่มปลาออ ได้คราวละหลายตัว หน้าแล้งน้ำในนาแห้งชาวบ้านหลายหมู่บ้านในตำบลหรือตำบลใกล้เคียงต่างมาจับปลาในคลองหัวเตย
กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) (อังกฤษ: Department of Learning Encouragement : DOLE) เดิมชื่อสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่หน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในประเทศไทย ยกฐานะมาจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เดิมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2483 เป็นกองการศึกษาผู้ใหญ่ และจัดตั้งเป็นกรมครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2522 ในชื่อ "กรมการศึกษานอกโรงเรียน" หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า "กศน."
ประวัติ
ยุคที่1 กองการศึกษาผู้ใหญ่
การศึกษาผู้ใหญ่ เริ่มมีอย่างเป็นทางการในปี 2483 โดยรัฐบาลในขณะนั้น ได้ให้มีการจัดตั้ง "กองการศึกษาผู้ใหญ่" สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับผิดชอบงานการศึกษาผู้ใหญ่โดยตรง และได้ริเริ่มโครงการรณรงค์การรู้หนังสือทั่วประเทศ พร้อมกับประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนผู้ไม่รู้หนังสือที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 45 ปี เสียค่าเล่าเรียนเป็นรายปี จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว ซึ่งโครงการรณรงค์ดังกล่าวประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุคที่2 กรมการศึกษานอกโรงเรียน
ต่อมา ได้มีการขยายโอกาสการศึกษาผู้ใหญ่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2513-2523 รัฐบาลจึงได้ยกฐานะกองการศึกษาผู้ใหญ่ ขึ้นเป็น "กรมการศึกษานอกโรงเรียน" ขึ้น เพื่อจัดการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับประชาชนในวันที่ 24 มีนาคม 2522
ยุคที่3 สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปฏิรูประบบราชการ และมีการยุบรวมกรมต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการจากเดิม 14 กรม เหลือเพียง 5 สำนักงาน ทำให้ กรมการศึกษานอกโรงเรียน ถูกยุบรวมเป็นสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พุทธศักราช 2551 สำนักฯ จึงปรับภารกิจเป็น "สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย" (อังกฤษ: Office of the Non-Formal and Informal Education : NFE)
ยุคปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเรียนรู้
กระทั่งวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 โดยมีสาระสำคัญคือการยกเลิกพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 และยกฐานะ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็น "กรมส่งเสริมการเรียนรู้" โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นไป 60 วันหรือตรงกับวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566