2 เมษายน ของทุกปี
ในปี พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ พ.ศ. 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อให้การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และยังกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการอ่าน เพื่อช่วยสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอีกด้วย และยังกำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็น “วันรักการอ่าน” ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงมีคุณูปการต่อวงการหนังสือไทย สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการอ่านของประเทศไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
นอกจากจะเป็นวันรักการอ่านแล้ว วันที่ 2 เมษายน ยังเป็น “วันอนุรักษ์มรดกไทย” อีกด้วย เพื่อตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในด้านศิลปวัฒนธรรมไทยในสาขาต่าง ๆ
หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะสถานศึกษาต่าง ๆ และห้องสมุด นิยมจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน ตัวอย่างกิจกรรมวันรักการอ่าน ได้แก่
จัดนิทรรศการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
จัดโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่
กิจกรรมแข่งขันตอบคำถามหรือประกวด เช่น แข่งขันตอบคำถามเกี่ยวกับวรรณกรรม แข่งขันประดิษฐ์ที่คั่นหนังสือ วาดภาพระบายสี แต่งเรื่อง เขียนเรียงความ
แนะนำหนังสือน่าอ่าน ร่วมกิจกรรมบันทึกการอ่าน หรือจัดชมรมนักอ่าน (book club)
มอบรางวัลเกี่ยวกับการอ่านให้กับสถาบันหรือบุคคล เช่น รางวัลส่งเสริมการอ่านหรือยอดนักอ่าน เพื่อเป็นกำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจในการอ่านอย่างสม่ำเสมอ
*ที่มาของสถิติ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ ผลสำรวจจากปี 2561
จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติระหว่างปี 2551-2561 พบว่าเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี มีแนวโน้มการอ่าน (อ่านเองหรือผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง) เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2551 เป็น 61.2% ในปี 2561 ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่การสนับสนุนและกระตุ้นให้ทุกคนหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับการอ่านนั้นควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และประเทศชาติต่อไปอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจและควรให้ความสำคัญคือพ่อแม่ผู้ปกครองกว่า 55.2%* ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการอ่านหนังสือของเด็กเล็ก โดยให้เหตุผลที่ไม่อ่านให้เด็กฟัง เพราะเชื่อว่าเด็กยังมีอายุน้อยเกินไป แต่ความจริงแล้ว จุดประสงค์ของการอ่านให้เด็กเล็กฟังนั้นไม่ใช่เพียงความเข้าใจในเนื้อหาเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก รวมทั้งสร้างความเพลิดเพลินให้เด็กเล็กผ่านความลื่นไหลและจังหวะของการอ่าน (flow and rhythm) รวมถึงการแสดงอารมณ์
การอ่านด้วยตัวเองหรือการอ่านให้เด็กเล็กฟังมีประโยชน์มากมาย ตัวอย่างเช่น
ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เด็ก เด็กมักจะขอให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังมากขึ้น
การอ่านหนังสือหรือเรื่องราวที่หลากหลาย สามารถช่วยเปิดโลกของเด็กให้กว้างขึ้น
ฝึกทักษะสมอง (EF: Executive Functions)
มีสมาธิ จดจ่อกับการอ่านและการทำกิจกรรมอื่น ๆ มากขึ้น
มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยขยายคลังคำศัพท์ของเด็ก
ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ และจินตนาการต่อยอดความคิด
ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวเมื่อผู้ใหญ่และเด็กทำกิจกรรมการอ่านร่วมกัน
การหยิบจับ สัมผัส และเปิดหน้าหนังสือเองช่วยฝึกฝนพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine Motor Skills) และความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและตา (Hand-Eye Coordination) ของเด็กอีกด้วย
ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น การไหว้สวัสดี ขอบคุณ หรือขอโทษ ทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งมีความรับผิดชอบ เช่น เก็บของเล่น
-----
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
สำนักงานสถิติแห่งชาติ - แบบสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2561 - http://www.nso.go.th
อุทยานการเรียน TK Park - กิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเยาวชนก่อนวัยรุ่น - https://www.tkpark.or.th
สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย - https://www.tla.or.th
ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน
เข้าร่วมประชาสัมพันธ์นักศึกษาลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 (กศน.) รับสมัครตั้งแต่วันที่ 25-30 เมษายน 2568 ณ ศกร.ระดับตำบลบางไทร ติดต่อได้ที่ ครูจารีย์ 095-2927134 และหลักสูตรการประเมินเทียบระดับการศึกษา วันที่ 1-30 มีนาคม 2568 ณ สกร.ระดับอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ติดต่อได้ที่ครูจารีย์ 095-2927134