สำหรับToyota Supra ในโฉมที่ 4 นั้น ได้มีการวางแผนกันตั้งแต่ปี 1989 ผ่านการออกแบบของหลากหลายทีมงาน จนมาถึงเวอร์ชั่นออกจำหน่ายจริงในช่วงเดือนเมษายน 1993 ให้เห็นภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมพอสมควร ที่เห็นได้ชัดก็คือไฟหน้า ได้หยุดการใช้งานในแบบ Pop-up ให้กลับมาเป็นแบบปกติ ถูกปรับความยาวของตัวรถให้ลดลงมากถึง 340 มม. เมื่อเปรียบเทียบกับตัว Luxury เพื่อให้ภาพลักษณ์ออกมาเป็นทรงสปอร์ตอย่างเต็มตัว ถูกปรับการออกแบบทั้งหมดของตัวรถให้ดูโค้งมนมากขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ในโฉมนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์ตัวแรง 2J ในตำนาน ทั้ง 2JZ-GE 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง 220 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2JZ-GTE 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ 276 แรงม้า
สำหรับเวอร์ชั่นในญี่ปุ่น ส่วนเวอร์ชั่นส่งออกต่างประเทศ มีการใช้ลูกเทอร์โบเวอร์ชั่นที่แตกต่างกับในญี่ปุ่น ทำให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 320แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ระบบใหม่ Getrag 6 สปีด แต่ก็ยังคงมีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ4 สปีดให้เลือกใช้งานเหมือนเคย และพิเศษสุดสำหรับตลาดในสหรัฐฯ Toyota Supra ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโตโยต้า ที่มาพร้อมถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยในโฉมนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-97ได้ใน 4.6 วินาที และสามารถวิ่ง 1/4 ไมล์ได้ใน 13.1 วินาที ที่ความเร็ว 175 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น จากการทดสอบ สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ตัวรถถูกล็อกความเร็วเอาไว้เพียงแค่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงในประเทศญี่ปุ่น และรุ่นส่งออกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในเวอร์ชั่นจำหน่ายในยุโรป จะเพิ่มช่องรับลมที่ฝากระโปรงเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย